จดหมายรัก ที่โลกพึ่งได้อ่าน
เรื่องราวของความรัก อัตลักษณ์ และความเท่าเทียม จากหลากหลายเสียงของ LGBTQ+ ไทย
เดือน Pride กลับมาอีกครั้งในเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมกับบางสิ่งที่มากกว่าการเฉลิมฉลอง เพราะปีนี้คือหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของ LGBTQ+ ไทย กับการที่ประเทศไทยประกาศใช้ กฎหมายสมรสเท่าเทียม อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2568 นับเป็นครั้งแรกที่คนทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมายไทย
เพื่อร่วมเฉลิมฉลองก้าวที่สำคัญนี้ PAÑPURI และ EQ Archives จึงชวน 9 บุคคลจากหลากหลายบทบาท มาร่วมกันเขียนจดหมายถึงกันและกัน บอกเล่าความรัก ความหวัง และมุมมองต่อโลก ผ่านตัวอักษรในประเทศที่กำลังเปิดใจให้กับอัตลักษณ์ที่หลากหลายมากขึ้นทุกวัน
แก๊ปเจ & เน็ต: ความรักที่ถูกประทับตรา
จากคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมานาน วันนี้ แก๊ปเจ (ธัญญ์ ภัคพงษ์พันธุ์ชัย) กับเน็ท (ณัชณิช ศิริสันธนะ) กำลังจะกลายเป็น “คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย” ในเร็ว ๆ นี้ ทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทางความคิด และคู่แท้ในชีวิตจริง จดหมายของพวกเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณกันและกัน ทั้งจากครอบครัวที่ไม่เคยตัดสิน และกฎหมายที่เปิดทางให้พวกเธอได้รักอย่างเต็มสิทธิ์
“เราถือว่าโชคดีมากเลย ครอบครัวไม่เคยว่าอะไร ผู้ใหญ่เราเค้าอายุเป็นร้อยปียังน้ำตาไหลตอนรู้ว่าเราจะแต่งงาน” – แก๊บเจย์
“ตอนแรกฉันก็กลัวนะที่จะบอกพ่อแม่ แต่พ่อพูดว่า ‘กลัวทำไม พ่อหัวสมัยใหม่กว่านั้นอีก’ ประโยคนั้นเปลี่ยนทุกอย่างเลย” – เน็ต
สำหรับพวกเธอ ความรักไม่ได้ต้องยิ่งใหญ่อลังการ แต่คือการบอกรักกันทุกวัน จับมือกันบ้าง ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยกัน การสมรสเท่าเทียมไม่ได้มีไว้โชว์ แต่มีไว้ “ปกป้อง” สิ่งสำคัญในชีวิต เพื่อวันที่เราต้องพูดแทนหรือดูแลกันอย่างเป็นทางการ

เกรส & ทริส: เสียงจากแนวหน้าของสิทธิคนข้ามเพศ
เกรส (นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ) นักออกแบบแห่ง LERT หรือ DJ GRES TEH และทริส (ธฤติ ตระกูลวรานนท์) ศิลปินที่มองเห็นรายละเอียดในความหลากหลายของมนุษย์ สำหรับทั้งคู่ Pride ไม่ได้จบแค่การแต่งงาน แต่คือการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนข้ามเพศในไทยอย่างจริงจัง
“ตอนเด็ก เราเคยภาวนาขอให้ตื่นมาแล้วกลายเป็นผู้ชาย โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกแยก” – เกรส
“เมืองไทยอาจเฉลิมฉลองสาวสองในสื่อ แต่เรื่องง่าย ๆ อย่างฮอร์โมนยังเข้าถึงยากมาก เราต้องการมากกว่าการมองเห็น เราต้องการการลงมือทำ” – ทริส
ความรักของพวกเขาไม่เดินตามสูตรสำเร็จ ไม่จำกัดเพศ ไม่ต้องเป็นชายหญิงชัดเจน ทริสเคยคิดว่าความรักของเธอจะมีได้แค่กับผู้ชาย จนวันหนึ่งเข้าใจว่า ความรักไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบอะไรเลย ส่วนเกรสก็พูดง่าย ๆ ว่า “รักคือความเข้ากันได้”
ทั้งคู่เรียกร้อง ‘เสรีภาพ’ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแย่งชิง แต่เป็นสิ่งที่ควรได้รับมาแต่แรก
พวกเขาหวังว่าสมรสเท่าเทียมจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น ก่อนที่กฎหมายจะก้าวไปไกลกว่านี้ และครอบคลุมคนข้ามเพศอย่างแท้จริง

เจน & คิว: ยูนิฟอร์มไม่จำกัดความรัก
ทั้ง เจน (ชนาธิป สิริหิรัญชัย) และ คิว (พิสิษฐ์ สิริหิรัญชัย) จดทะเบียนสมรสในวันแรกที่กฎหมายเปิดให้ทำได้ กลายเป็นหนึ่งในคู่รักขวัญใจสื่อทันที เรื่องราวของพวกเขาย้ำว่า "เพศ" ไม่เคยจำกัดความกล้า ความรัก หรือการเสียสละในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“สมัยก่อนเราเคยคิดว่าสัมพันธ์มีแค่ชายหญิง ตอนนี้รู้สึกเหมือนได้เป็นตัวเองเต็มที่แล้ว” – เจน
“ตอนรู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ฉันยังไม่มีคำเรียกสิ่งนี้ด้วยซ้ำ แต่พอได้เจอเจน ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นทันที” – คิว
ความรักของพวกเขาแสดงออกในชีวิตประจำวัน การดูแลกันเล็ก ๆ น้อย ๆ
ความเท่าเทียมสำหรับพวกเขา คือการได้สิทธิ์เหมือนทุกคน
“เรารอมา 3 ปีกว่าจะได้เป็นคู่สมรสตามกฎหมาย ตอนนี้เรามีทุกอย่างร่วมกัน บ้าน อนาคต และนามสกุล” – เจน
ของที่ระลึกจากงานแต่งของพวกเขา คือ ตุ๊กตาตัวโปรด สมุดบัญชีร่วม และทะเบียนสมรสในฐานะกระดาษแผ่นสำคัญที่สุดในชีวิต

กัญจน์ & ตุ๊ก: 30 ปี กับคนเดียวก็พอแล้ว
กัญจน์ (กัญจน์ เกิดมีมูล) กับตุ๊ก (ปกชกร วงศ์สุภาร์) เป็นคู่รักหญิงรักหญิงที่อยู่ด้วยกันมากว่า 30 ปี ในวันที่คำว่า “ภรรยา” ยังไม่มีที่ให้ยืนในสังคมหรือกฎหมาย
“ตอนนั้นเราไม่กล้าจีบหรอก แค่พยายามเด่นในสนามกีฬา หวังว่าเขา (ตุ๊ก) จะสังเกตเห็น” – กัญจน์
“เราไม่เคยคิดว่าจะอยู่กันได้นานขนาดนี้ แต่เราก็ไม่เคยหายไปจากกันเลย” – ตุ๊ก
ความรักของพวกเธออยู่ในรายละเอียด ทั้งการทำอาหารให้กัน การอยู่ข้างกันเงียบ ๆ การมองตาแล้วรู้ใจ
วันนี้พวกเธอไม่ต้องหลบอีกต่อไป จากที่เคยต้องโกหกหมอว่า “เป็นเพื่อนกันเฉย ๆ” ตอนนี้พวกเธอฝันถึงงานแต่งริมทะเลในชุดไทยราชปะแตน

โม: ชีวิตโหมดยากที่ยังน่าอยู่
โม (โม จิรชัยสกุล) เป็นศิลปินเซรามิกและเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์ เขาบอกว่าการเป็นเกย์ในไทย เหมือนเล่นเกมชีวิตใน “โหมดยาก” แต่ก็ยังเป็นเกมที่เขาอยากเล่นอยู่ดี
“เคยมีช่วงที่ฉันเกลียดตัวเอง เพราะไม่เหมือนคนอื่น แต่ฉันไม่ได้เลือกเกิดแบบนี้ พอเลิกโทษตัวเอง ชีวิตก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเอง”
มุมมองเรื่องความรักของโมเปลี่ยนไป พอเข้าเลขสาม เขามองความสัมพันธ์เป็นวงกลมที่ทับซ้อนกัน เชื่อมโยงกัน แต่ไม่กลืนกินกัน เขาให้คุณค่ากับงานและมิตรภาพมากกว่าความโรแมนติก แต่ก็ยังมีรักหนึ่งที่ฝากรอยไว้ลึกจนไม่มีวันลืม
“ในเกม โหมดยากไม่ได้แปลว่าเล่นไม่ได้ ประเทศไทย แม้จะมีเรื่องให้เหนื่อย แต่ก็ยังใจดีกับฉันมากกว่าตะวันตกเสียอีก”
ครั้งหนึ่งพ่อเคยห่วงว่าการเป็นเกย์จะอันตราย แต่ก็พูดว่า “นี่คือลูกของฉัน ฉันรักเขา และเขาจะเป็นผู้นำที่ดีได้” คำพูดนั้นก่อนพ่อจากไป กลายเป็นความทรงจำที่เขาไม่มีวันลืม

Pride ไม่ใช่แค่สีสัน แต่คือหัวใจ
จากจดหมายจริงใจ
จากความรักที่เคยซ่อนเงียบ
จากอดีตอันเจ็บปวด
สู่การเริ่มต้นใหม่ที่เราทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน
เสียงจากพวกเขาเตือนเราว่า
Pride ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง แต่มันคือ “การประกาศตัวตน”
การประกาศรัก
การยืนยันความจริง
และการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง อย่างไม่ต้องขอโทษใคร
เพราะสุดท้ายแล้ว
ความเท่าเทียมไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง
แต่มันคือ “พื้นฐาน” ที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับตั้งแต่แรก