ว่าด้วยการเมือง การละคร และเรื่องเควียร์ๆ กับ H0M0HAUS เทศกาลศิลปะการแสดงและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับชาวเควียร์
บทสนทนาที่ดำเนินไปในอาคาร Buffalo Bridge Gallery แม้คล้ายอินโทรของ H0M0HAUS 2025 หรือเทศกาลศิลปะการแสดงที่โฟกัสกับความหลากหลายทางเพศ แต่ระหว่างบรรทัดกลับเผยเรื่องราวการต่อสู้กับบรรทัดฐาน โครงสร้าง และกรอบแบบขั้วตรงข้ามที่ยังคงอยู่กับสังคมต่อไป
ในไม่กี่สัปดาห์ก่อนเดือนไพรด์ EQ มีนัดกับศิลปินเควียร์ Festival Director และผู้ก่อตั้ง H0M0HAUS (โฮโมเฮาส์) ทั้งสามคนอย่าง มิสโอ๊ต—ปฏิพล อัศวมหาพงษ์, ออม—ปัถวี เทพไกรวัล และ แรปเตอร์—สิรภพ อัตโตหิ
H0M0HAUS ยังเป็นพื้นที่และเควียร์คอมมูนิตี้ที่อยากให้ศิลปินและผู้ชม สร้างบทสนทนาของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในโลกที่ไม่ได้มีเพียงกล่องหญิง-ชาย ผ่านศิลปะการแสดงหลายรูปแบบ และถือเป็นปีที่สองของ H0M0HAUS ซึ่งจะจัดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ตลอดสองสัปดาห์ในเดือนแห่งการเฉลิมฉลองความหลากหลาย ความน่าสนใจคือ ในประเทศที่ผ่านสมรสเท่าเทียมมาหมาดๆ จะมีเรื่องราวใดบ้างที่สะท้อนออกมาผ่านเทศกาลศิลปะครั้งนี้
อาจเริ่มด้วยคำถามที่ว่า แต่ละคนก้าวเข้าสู่วงการละครเวทีได้ยังไง ในสังคมที่พูดได้ว่าละครเวทีไม่ได้เป็นวัฒนธรรมหลัก?
มิสโอ๊ต : หลังเรียนจบนิเทศศาสตร์ เราทำงานในอุตสาหกรรมละครโทรทัศน์ แต่ระหว่างนั้น เราทำละครเวทีไปด้วย เริ่มจากทำละครเวทีสั้นในโครงการ ‘อ่านเรื่องเพศ’ ในปี 2014 เราได้เจอออมที่นั่น และเพราะไม่ค่อยมี transgender ในวงการ ไม่ค่อยมีคนแบบเรา มันเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจของคนในวงการ หลังจากนั้นก็ทำเรื่อยมา อาชีพจริงๆ ของเราก็คือศิลปินละครเวที แต่อย่างที่รู้กันว่า ศิลปะการแสดงในประเทศนี้ไม่ได้สร้างรายได้มากนัก ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราถูกมองเห็นจากที่อื่น ทำให้มีรายได้จากการเอางานไปเล่นต่างประเทศบ้าง
แรปเตอร์ออกตัวว่าเป็นศิลปินรุ่นหลังมิสโอ๊ตและออม โดยรู้จักกันผ่านโปรแกรม Spectation and Suspicion ในเทศกาลละครกรุงเทพฯ ปี 2022 ซึ่งเป็นโปรแกรมที่นำคนสนใจศิลปะการแสดงอายุต่ำกว่า 30 มาดูละครและพูดคุยกัน ก่อนที่โอ๊ต ออม และแรปเตอร์ จะทำ H0M0HAUS ในเวลาต่อมา
แรปเตอร์ : ตอนเรียนแสดง มันแทบไม่มีบทที่อยากเล่น ต้องเล่นบทผู้ชาย เรารู้สึกฝืน มันไม่ใช่ตัวเอง พอถึงปี 4 ซึ่งเป็นปี 2020 ที่มีโควิดและการเคลื่อนไหวทางการเมือง เรากระโจนเข้าไปในการเคลื่อนไหวตอนนั้น ตั้งกลุ่มของเราเองชื่อว่า เสรีเทยฺย์พลัส ทำม็อบ ทำกิจกรรมทางการเมือง เรื่องประชาธิปไตยและ LGBTQ+
แรปเตอร์ : เราพักการเรียน 2 ปี เพื่อทำงานตรงนี้ แต่พอขบวนการเคลื่อนไหวเข้าสู่ช่วงถดถอย เรากลับมาเรียนต่อและพบว่าเรื่องเควียร์เป็นสิ่งที่เราสนใจจริงๆ เรากลับมาใช้ละครเวทีเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ทำเพื่อศิลปะ แต่เพื่อสื่อสารประเด็นทางสังคมและการเมือง
ออม : พูดได้ว่าละครเวทีในเมืองไทยไม่ได้เป็น culture หลักเหมือนเมืองนอก ที่นี่เราทำกันเล็กๆ บ้าง มีโรงใหญ่บ้าง เราทำได้ เรามีความเป็นหมู่มวลอยู่ แต่ถ้าพูดถึงตัวละครที่มีบท เราจะพบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้มีบทตุ๊ด เกย์ หรือว่าเป็น LGBTQ+ เราจะไม่พูดว่าไม่มีเลย อาจไม่มีใครทำหรือเราอาจหาไม่เจอ มันไม่มีอะไรให้เราเล่น เพราะถ้าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้และถ้าเขาไม่ได้เป็นแบบเรา เขาจะทำเรื่องนี้ทำไม

หมายถึงว่า ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีบทสำหรับ LGBTQ+ ในวงการละครเวที?
ออม : แต่ก่อนมีคนทำ แต่ไม่ใช่เรา เพราะพอเราเป็นเก้งผมสั้นออกสาว ทุกคนจะบอกว่า ‘เฮ้ย เธอมีคาแรกเตอร์ชัด เดี๋ยวต้องมีบทที่มันเป็นของเธอ’ แต่เราไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปลองอ่านบท เพราะเขาไม่ได้คิดถึงเราแต่แรก เราไม่ได้พูดว่าเราเป็นนักแสดงที่เก่ง ประเด็นคือ แม้แต่การแคสงาน แคสโฆษณา ในบทเพื่อนนางเอกออกสาว เราก็ไม่คิดว่าบทนั้นเป็นเรา เพราะหน้าตาเราไม่ใช่ หน้าตาเราเหมือนคนไปเล่น 4KING มากกว่า (หัวเราะ) เราไม่รู้ว่าจะต้องไปลงล็อกไหน ไม่ว่าจะเป็นละครเวที ทีวี หรือว่าภาพยนตร์ เมื่อไม่มีกล่องให้เราลง พอเรามาจับนางโชว์ พอเรามาจับแดร็ก เราแต่งหญิง มันกลายเป็นมีคาแรกเตอร์ที่ชัด ชัดมาก เป็นคาแรกเตอร์ที่บางสื่อยังต้องการ ก็เริ่มมีงานเข้ามา
ออม : ถามว่าตอนนี้วงการละครเวทีดีขึ้นมั้ย มันดีขึ้น มีเด็กๆ ที่ออกมาทำ เห็น subject matter มากขึ้น แต่ยังเป็นส่วนน้อย นักแสดงเด็กเควียร์ ออกสาว ไปอยู่ตรงไหนล่ะ ในเมื่อคนทำงานศิลปะไม่สามารถตัดคนที่เป็นชายแท้หญิงแท้ได้ ทุกคนมองเขาว่า ‘โอ้โห เธอเป็นนักแสดง เธอทำอะไรก็ได้ เก่งจังเลย’ แต่พอเราเป็นอย่างนี้ (LGBTQ+) แม้แต่เวลาที่เราไปลองบท เราจะคิดในหัวตลอดว่า ‘ไม่เวิร์กหรอก ไม่น่าใช่หรอก ไม่มีทาง’ ครึ่งหนึ่งก็กดดันตัวเองแหละ สุดท้ายปัญหานั้นอาจเป็นเราเอง มันเป็นปัญหา เราว่าไม่ใช่คนเดียวที่คิดอย่างนี้ …
มิสโอ๊ต : คำถามคือ ถ้าเราจะทำละคร แต่เราเป็นกะเทยผมยาว อ้วน ดำ จะเล่นอะไรได้บ้าง มันไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งเดียวที่เป็นได้ก็คือ ‘ตัวเอง’ ทำให้ศิลปินเควียร์ในยุคแรกๆ พยายามใช้เรื่องส่วนตัวเป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างงาน เพราะ หนึ่ง-ไม่มีบท และสอง-ไม่มีบทไหนที่พูดถึงเราผ่านบทที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์
นั่นทำให้ประเด็นที่สื่อสารต้องหยิบเฉพาะประเด็นของอัตลักษณ์และประวัติศาสตร์ส่วนตัวออกมาเล่ารึเปล่า?

ออม : เราทำงานจากเรื่องส่วนตัวมาตลอด พูดได้ว่าทุกงาน ทำมา 3-4 เรื่อง ก็ยังสนใจเรื่องที่เอาเรื่องส่วนตัวคนอื่นมาเล่า แต่ว่าเราจะเล่ายังไง เล่าแบบไหน สนุกยังไง เพราะ Queer life แต่ละคนมีการเดินทางที่ต่างกัน เรื่องราวของแต่ละคนมันมีค่า เราอยากะนุถนอมสิ่งนั้น อยากโอบกอดสิ่งนั้น เขามี struggle แบบไหน มันเป็นเสียงเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยได้ยิน เราถึงอยากเล่าเรื่องส่วนตัว ซึ่งมันเป็น practice ของศิลปินเควียร์หลายคน
มิสโอ๊ต : เราคิดว่าเป็นเรื่องของยุคและสมัย เพราะละครเวทีมาจากตะวันตก ซึ่งในยุคหนึ่งก็ไม่ได้หลากหลายมากนัก ไม่มี representation ของอัตลักษณ์ที่อยู่นอก binary gender (กรอบเพศสองขั้ว) คนที่มีอัตลักษณ์ออกไปจากหญิง-ชาย ก็ไม่มีพื้นที่ ไม่มีโอกาสแสดง เพราะบทไม่มีให้
มิสโอ๊ต : ปกติแล้ว ศิลปินเกือบทุกคนมีประเด็นส่วนตัวที่เข้ามาสอดรับกับการสร้างงานศิลปะ แต่หลายครั้งไม่ได้ถูกโชว์ในฐานะเรื่องเล่าด้วยตัวมันเอง เราจึงสนใจเล่าเรื่องเล่าส่วนตัวด้วยตัวมันเองในการแสดงของเรา และเราเองก็เป็นแฟนคลับของเฟมมินิสต์คลื่นลูกที่ 2 ที่ใช้เรื่องส่วนตัววิพากษ์ระบบหรือเรื่องที่กว้างขึ้น
ออม : เราว่าสุดท้ายคำถามจะวนกลับมาที่ “เราผ่านอะไรมา?” แล้วถ้าเรื่องราวส่วนตัวของเรามันเชื่อมโยงกับคนอื่นได้ มันแปลว่าไม่ใช่เราคนเดียว มันไม่ใช่การเดินทางของเราคนเดียว
แล้วความเป็นเควียร์มีบทบาทอย่างไรต่อศิลปะการแสดงและการขับเคลื่อนประเด็นเรื่องเพศ?
มิสโอ๊ต : เราสนใจการทำลายขนบของการละครเวทีแบบดั้งเดิม ไม่จำเป็นต้องมี 3 องก์ ไม่ต้องมีตัวละคร เราไม่ได้ปฏิเสธขนบ แต่เราเชื่อว่าละครเวทีควรมีความหลากหลายกว่านี้ หลักการของเราคือการตั้งคำถามกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ และท้าทายสิ่งที่เคยถูกมองว่าต้องเป็นแบบเดียว เพราะเชื่อว่าละครเวทีไม่ใช่พื้นที่ของปิตาธิปไตย มันจำเป็นต้องถูกท้าทายด้วยฟอร์มของศิลปะเอง รวมถึงความคุ้นชินของคนดูเอง
แรปเตอร์ : สำหรับเรา การทำงานเควียร์ไม่สามารถแยกออกจากความเป็นการเมือง เพราะการเป็นเควียร์คือความเป็นชายขอบซึ่งปะทะและต่อต้านกับขั้วอำนาจที่เป็นบรรทัดฐาน การทำงานเรื่องเควียร์จึงเป็นการทำงานเรื่องการเมืองอยู่เสมอ …
แรปเตอร์ : แต่เราคิดว่าความเป็นเควียร์คือการอยู่นอกกรอบ การที่เรานิยามตัวเองว่าไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้ มันคือการต่อต้านโครงสร้างเดิม มันคือความรุนแรงอย่างลึกซึ้งถึงราก (radicalness) แล้วเราก็ต้องโอบรับสิ่งนั้น เพื่อจะได้เขย่าบรรทัดฐานที่กดทับเราอยู่
นี่อาจเป็นความท้าทายของเควียร์ที่มีภาพในลักษณะของสิ่งที่อยู่นอกขนบที่คอยสั่นคลอนบางอย่างเสมอ คำถามคือ ทั้งคนในคอมมูนิตี้และชาว straight ควรมองเรื่องนี้แบบไหนดี?

แรปเตอร์ : เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้อง radical หรือก้าวร้าวรุนแรง แต่เราคิดว่าการต่อต้านเริ่มต้นตั้งแต่การนิยามตัวเอง ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง หลายครั้งเราถูกทำให้เชื่อง ต้องทำตัวให้คนยอมรับ ต้องอยู่ในกรอบ ซึ่งถ้าคุณเลือกแบบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่พื้นที่ที่มีความหลากหลายต้องโอบรับทั้งหมด การลุกขึ้นมาตั้งคำถามคือสิ่งสำคัญ และ Radicalization คือการบอกว่าเรามีเสียงของเรา และเราจะพูดมันออกมา
มิสโอ๊ต : ด้วยความที่เราเป็นเควียร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นที่เราโฟกัสคือการวิพากษ์ปัญหาทางสังคมผ่านเลนส์เควียร์ เรารู้ว่าชีวิตเราเจออะไรมาบ้าง โดนกดทับอย่างไรบ้าง งานของเรากลายเป็นเครื่องมือของการต่อต้าน ซึ่งก็จำเป็นต้องวิพากษ์อำนาจที่เคยกดทับเรา นั่นคือระบบปิตาธิปไตย
ออม : สำหรับเรา ศิลปะมันเล่าเรื่องความเป็นอื่น บางทีไม่ต้องใช้เลนส์เควียร์มองเรื่องเพศภาวะอย่างเดียวก็ได้ มันพูดเรื่องการเมืองได้ พูดเรื่องการเห็นต่างได้ ทำไมเราถึงรู้สึกเป็นอื่นในประเทศเดียวกัน ทำไมเราถึงรู้สึกเป็นอื่นในพื้นที่ทำงาน ในโรงเรียน สำหรับเราสิ่งเหล่านี้เป็นการเดินทางแบบเควียร์ …
ยกตัวอย่างงานที่นำเรื่องส่วนตัวมาวิพากษ์สังคมได้ไหม?

มิสโอ๊ต : ในปี 2023 เราทำงานชื่อ ‘30th : If I Can’t Sing, I Don’t Want to be Part of Your Revolution.’ เป็นละครยาว 5 ชั่วโมง เกิดจากการที่มีคนบอกเราว่า เราเปลี่ยนไปมากจากวันแรกที่เข้าวงการ เราจึงกลับไปสำรวจว่าอะไรทำให้เราเปลี่ยนไป เราเชื่อว่าการกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์ส่วนตัวจะทำให้เราหวนรำลึกถึงภาวะของตัวเองในเวลานั้น ประกอบกับเล่าประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ 28 กรกฎาคม 1993 จนถึงปี 28 กรกฎาคม 2023 ซึ่งเป็นปีเกิดของเรา จนถึงปีที่แสดง เราเล่าผ่านหน้าจอที่ฉากหลัง พอถึงเหตุการณ์สำคัญที่กระทบเรา เช่น ต้มยำกุ้ง สึนามิ รัฐประหาร ปี 49 ปี 57 ม็อบปี 53 ม็อบกปปส. การสวรรคต ฯลฯ การแสดงจะหยุดแล้วฉายฟุตเทจที่เราไปรีเสิร์ชมา เป็นการชวนคนดูกลับไปสำรวจเหตุการณ์นั้น
แรปเตอร์ : ปีแรกของ H0M0HAUS มีงานของเราที่เป็นสารคดีสำรวจชีวิตของเพื่อนเราคนหนึ่งซึ่งเป็น transwoman และเป็นมุสลิม เราเห็นว่าอาจเป็นประเด็นที่คนไทยยังไม่คุ้นชิน เพราะเป็นการเมืองเรื่องเพศและการเมืองเรื่องศาสนามาเชื่อมโยงกัน
แล้วอะไรทำให้เกิด H0M0HAUS ?
ออม : H0M0HAUS เกิดขึ้นเพราะเราทำละครเวทีมาตั้งแต่เรียนปี 2-3 แล้วเจอมิสโอ๊ตในยุคที่ละครโรงเล็กมีพื้นที่ให้เราได้นั่งคุยกัน เราทำละครเควียร์ เขาทำละครเควียร์ เราสลับกันทำ มองไปรอบๆ แล้วคุยกันว่าเมื่อไหร่จะมีคนอื่นทำบ้าง ก่อนหน้าเราก็มีนะ เช่น พี่กั๊ก—วรรณศักดิ์ ศิริหล้า แต่นับนิ้วได้ ทั้งที่ประเทศไทยเป็นเมือง LGBTQ+ friendly แต่ทำไมมีคนทำเรื่องนี้น้อย หรือมันไม่ใช่ปัญหาของทุกคน หรือมีแค่เราสองคนที่มองว่ามันมีปัญหา จนเจอแรปเตอร์ แล้วเราก็ตื่นเต้น มีคนเพิ่ม มีความหวัง และคิดต่อว่าจะไปให้ถึงคนที่มีความสนใจคล้ายๆ กันยังไง อาจจะไม่ใช่ศิลปิน แต่อาจจะเป็นคนดูก็ได้
ออม : เราคาดหวังว่า H0M0HAUS จะเป็นพื้นที่ที่คนอื่นมารวมตัวกันมากขึ้น ปีนี้เป็นปีที่ 2 บางงานเราก็ต้องลุยกันเองไปก่อน เพราะเรายังไม่รู้จักใครมากนัก ปีนี้จึงมี H0M0Fringe H0M0FRINGE ซึ่งเป็นพื้นที่ให้ศิลปินทำอะไรก็ได้ เราหาสเปซ ให้สเปซ ทำอะไรก็ได้ ไม่จำกัด เราจะได้เห็นงานเขาและรู้จักเขามากขึ้น เขาจะได้รู้ว่าในหนึ่งปี มีพื้นที่นี้ที่รองรับให้เขาเป็นผู้ชมหรือแม้กระทั่งผู้สร้างงานได้ ให้เขาทำงานเพื่อให้เราได้รู้จักเขา และให้เขารู้ว่ามีพื้นที่ที่รองรับเขา
มิสโอ๊ต : H0M0HAUS เกิดขึ้นจากความเชื่อว่าคนในคอมมูนิตี้ควรมีพื้นที่ปลอดภัยในการทดลองสร้างงาน เป็นที่ที่เขารู้ว่ามีคนอยู่ข้างๆ เสมอ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ใน H0M0HAUS แล้วจะปลอดการโดนด่าจากปิตาธิปไตยนะ แต่มันเป็นการเปล่งเสียงว่า เราไม่ได้อดทนและยอมถูกกดทับเพียงอย่างเดียว
มิสโอ๊ต : ถึงจุดหนึ่งเราเชื่อว่า งานที่สร้างบทสนทนาเรื่องเควียร์ไม่จำเป็นต้องเป็นงานสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว เพราะเราอยากสานต่อการสร้างเควียร์คอมมูนิตี้ เราจึงสนใจงานที่เป็น process base ปีนี้จึงชวนศิลปินมาสร้างงานโดยการเปิด open call ให้คนในคอมมูนิตี้ที่สนใจมาร่วมสร้างงานไปพร้อมกับศิลปิน และนำผลลัพธ์นั้นมาโชว์ให้กับคนดู
ศิลปะการแสดงจะช่วยต่อยอดบทสนทนากี่ยวกับเพศได้อย่างไร?
มิสโอ๊ต : เราเห็นว่าเรื่องเพศมักไม่ถูกพูดถึงแบบเปิดเผย มันเป็นเรื่องที่คนเห็นอยู่ทุกวัน แต่ไม่ถูกพูดถึงอย่างจริงจัง สังคมเหมือนจะยอมรับ แต่จริงๆ แค่ต้อนรับ เมื่อมีภาพต้อนรับ คนก็คิดว่าไม่มีปัญหา เราเคยอยากนิยามตัวเองว่าเป็น transgender แต่ทำไม่ได้ เพราะในสังคม 20 ปีที่แล้ว การจะเป็น trans ต้องเทคยา ต้องแสดงตัวเหมือนผู้หญิง ต้องทำทุกอย่างให้ใกล้เคียงกับผู้หญิง ซึ่งเราไม่ได้อยากทำ ตอนนั้นความรู้เกี่ยวกับการเทคฮอร์โมนยังมีน้อย ต้องทำสิ่งที่ยังผิดกฎหมาย เรากลัวสุขภาพพัง พอไม่ทำ เราก็ถูกผลักออกจากคอมมูนิตี้ บางคนบอกว่าเราอาจจะไม่ใช่ trans ก็ผลักเราไปเป็นเกย์ แต่เราไม่ได้สนใจความสัมพันธ์หรือเซ็กซ์เลย
มิสโอ๊ต : ทั้งหมดนี้ทำให้เรากลายเป็นคนตั้งคำถามกับโลกแบบสุดขั้ว แล้วเราเชื่อว่าสิ่งนั้นแหละคือเควียร์ พอเราทำศิลปะการแสดง เราก็สนใจเหตุผลของการกระทำแต่ละอย่างบนเวที หลายครั้งเราพบว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอให้เราต้องทำแบบเดิม เช่น มันอาจมีคำอธิบายว่าทำไมเราถึงต้องเป็นตัวละครในละครเวทีหนึ่งเรื่อง แต่คำอธิบายนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่น หลายครั้งที่งานของเราไม่ได้อยู่ในบรรทัดฐาน แต่เราก็ไม่ได้ปฏิเสธความรู้พื้นฐาน เราศึกษามาพอสมควรจนกล้าที่จะวิพากษ์มัน
ออม : สิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือพื้นที่ในการพูดคุย ละครคือ ‘springboard’ ที่ทำให้เกิดการพูดคุยเสมอ เป็นพื้นที่ที่ทำให้คนได้ถูกมองเห็น เรื่องราวได้ถูกมองเห็น พื้นที่นี้ทำให้การต่อสู้ของเราถูกมองเห็น เราเคยคิดว่าเราสู้มาไกลจังเลย แล้วทุกวันนี้เป็นไง — ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เหนื่อยจัง (หัวเราะ)
แรปเตอร์ : การเคลื่อนไหวไม่ได้มีแค่การลงถนนหรือการทำงานเชิงนโยบายอย่างเดียว ศิลปะเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลัง พอเรากลับมาทำละคร เราก็ไม่ได้มองว่ามันคือศิลปะเพื่อศิลปะอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือที่พูดมันออกมา (speak up) ทั้งเรื่องเควียร์และการเมือง

ในฐานะคนที่คลุกคลีกับวงการศิลปะการแสดง คุณมองว่า ‘ความเป็นมนุษย์’ จะมีความหมายแบบไหนในมุมมองแบบเควียร์ ถ้าความหมายของการเป็นมนุษย์คนหนึ่งจะช่วยพาเราออกจากกล่องทางเพศได้
มิสโอ๊ต : เราเชื่อว่ามนุษย์เป็นแค่สิ่งมีชีวิตหนึ่งในระบบนิเวศ ไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ความเป็นมนุษย์สำหรับเราคือปัจเจกที่อยู่ในพื้นที่ร่วมกัน ในฐานะมนุษย์เควียร์ เรามีความพิเศษในตัวเอง แต่ไม่ใช่เพื่อจะมีอภิสิทธิ์ เราแค่อยากมีที่ยืนในโลกนี้ในแบบของเรา
แรปเตอร์ : ความเป็นมนุษย์คือความหลากหลายและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ไม่มีคำนิยามที่ชัดเจน ทุกคนมีประสบการณ์ มีอัตลักษณ์ และบริบทต่างกันไป เราจึงต้องยอมรับความหลากหลายนั้นโดยไม่ตัดสิน ตราบใดที่ไม่มีเรื่องให้ตัดสิน ก็จะมีการยอมรับ และการยอมรับความแตกต่างคือการยอมรับความเป็นมนุษย์
ออม : เราเป็นเด็กเรียนละครและเรียนการแสดงมาตลอด เวลาเราตอบคำถามสัมภาษณ์ ทุกคนจะพูดว่า “เรียนละครเพื่อให้เรียนรู้การเป็นมนุษย์” แต่เราไม่อยากเป็นมนุษย์ อยากเป็นหมา อยากกินข้าวแล้วนอน แล้วมีคนป้อนอาหารทุกวัน ไม่รู้ว่าควรเป็นอะไร ถ้าเราเหมือนมนุษย์แล้วค่อยมาว่ากัน (หัวเราะ)
เราจะเห็นอะไรใน H0M0HAUS 2025 ?
มิสโอ๊ต : ปีนี้เราสนใจงานที่เป็น process base คือการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินสร้างงานร่วมกับคนในคอมมูนิตี้ เช่น งาน ‘Vessel Unbound’ ที่ทำกับปูเป้—ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ ศิลปินที่ทำงานเกี่ยวกับความเป็นหญิง เราอยากให้เขาเปิดรับความเป็นหญิงในทุกรูปแบบ อีกงานคือ ‘Vase of Possibility’ ที่ทำกับพี่บอล–นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์ ตั๋ม—ธนพล วิรุฬหกุล และเผ่า—เผ่าภูมิ ชิวารักษ์ ศิลปินละครเวทีและ Choreographer จาก Backroom - Ritual Studio ซึ่งทำงานร่วมกับเด็กประถมและมัธยมโดยเน้นศิลปะและความหลากหลายผ่านกระบวนการระบายสี
มิสโอ๊ต : สุดท้ายคือ ‘In the Minor of Everything’ ที่ออมกำกับ เป็นงานสำรวจความรู้สึกในบทเพลงของศิลปินเควียร์อย่าง SILVY (ซิลวี่—ภาวิดา มอริจจิ) และ MAMIO (มะเหมี่ยว—สุทธิภัทร สุทธิวาณิช) เพื่อดูว่าเมื่อเรารู้เรื่องราวเบื้องหลังแล้ว ความรู้สึกของเราที่มีต่อเพลงนั้นเปลี่ยนไปแค่ไหน
แรปเตอร์ : เทศกาลนี้ไม่ได้มีแค่การแสดง แต่มีเวิร์กช็อป วงเสวนา และกิจกรรมที่เชิญนักวิชาการ ศิลปิน และคนในชุมชน LGBTQIA+ มาร่วมพูดคุย เราอยากให้บทสนทนาไม่ได้จำกัดแค่วงการศิลปะ แต่ผ่านแว่นตาที่หลากหลาย เพราะศิลปะไม่ได้มีแค่คนสร้าง แต่มีคนดู นักวิเคราะห์ และชุมชนด้วย เราพยายามสร้างเทศกาลให้คนในคอมมูนิตี้ LGBTQ+ มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
แรปเตอร์ : ที่สำคัญ ปาร์ตี้มันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเควียร์ เทศกาลของเรามีทั้งปาร์ตี้เปิดและปาร์ตี้ปิด ในปีแรกเราคอลแลปกับวงการ Ballroom ส่วนปีนี้เรามีปาร์ตี้เปิดที่ Goethe Institut และชวน NUH PEACE ดีเจเควียร์สายทดลองที่มีแนวคิดวิพากษ์สังคมแบบ radical มาเล่นเปิดด้วย
(ผู้ถือบัตร H0M0HAUS 2025 เข้าฟรีนะ จุ๊บๆๆๆ)
มาสำรวจโปรแกรมใน H0M0HAUS 2025 ได้เลยที่
IG : homohaus_official
FB : H0M0HAUS
Website : h0m0haus.com
rehearsal photos by Jiraphat Vinagupta, HOMOHAUS