Menu.Menu.
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
story
EQ
photographer
published
18.7.25
days-since-publication
Thai
English
View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

BANGKOK CITYCITY ก้อน ‘โปรเจกต์’ ฝัน ตลอดสิบปีของ ‘อ๊อป’ และ ‘ลูกตาล’

BANGKOK CITYCITY GALLERY ดำเนินมาถึงช่วงเวลาครบรอบ 10 ปี ที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต จุดเปลี่ยนนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนไปเป็นสิ่งอื่นสิ่งใดที่ห่างไกลจากเดิม เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของพื้นที่ศิลปะ รูปแบบที่บางกอก ซิตี้ ซิตี้ จะได้เปิดรับผู้คนที่ทำงานศิลปะและวัฒนธรรมให้ได้รับการมองเห็นมากขึ้นรวมถึงสำรวจความคิดที่หลากหลายมากขึ้น รูปแบบนี้เกิดจากความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นของ อ๊อป–อรรคพล สุทัศน์ ณ อยุธยา กับ ลูกตาล–ศุภมาศ พะหุโล ทั้งสองต้องการให้พื้นที่ศิลปะเกิดขึ้นในเมืองที่พวกเขาใช้ชีวิต เหมือนกับความรักที่เขาจะมอบให้กับเมืองในแบบที่อ๊อปเคยพูดมาตลอด โดยเริ่มต้นจากความฝันและกำลังขับเคลื่อนมาสู่การเป็นแกลเลอรี่ใจกลางเมือง ที่ได้ก่อตัวเป็นพื้นที่ศิลปะที่ขยายตัวออกไปสู่ผู้คนและชุมชนที่หลากหลาย 

นับจากจุดเริ่มต้นจนเข้าปีที่สิบ เส้นทางของบางกอก ซิตี้ ซิตี้ แกลเลอรี่ทำให้คนในสังคมเริ่มมองเห็นความสำคัญของการมีอยู่ของพื้นที่ศิลปะและพื้นที่ทางเลือกมากขึ้น อีกทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่เข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากมายที่เข้ามา

ผ่านศิลปะหลากหลายแขนง เกิดเป็นบทสนทนาทั้งจาก หนังสือในห้องสมุดของแกลอรี่, พอดแคสต์ออนไลน์, การจัดโปรแกรมสาธารณะที่สร้างขึ้นเพื่อการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่าง อาทิเช่น ศิลปิน,นักวิชาการ,ภรรฑารักษ์,นักวิจัย ฯลฯ ในแต่ละงานของศิลปินและพื้นที่นี้ยังคอยสะท้อนถึงคำถามว่าพื้นที่ศิลปะมีมากเพียงพอหรือยังสำหรับผู้คนในเมือง 

การเปลี่ยนผ่านนี้นำพาเรามาสู่บทสนทนาร่วมกับ อ๊อป และ ลูกตาล บทสนทนานี้ไม่ใช่คำบอกลา บางกอก ซิตี้ ซิตี้ แต่เป็นบทสนทนาที่เราอยากเชื้อเชิญให้ทั้งคู่มองย้อนกลับไปยังอดีตและสำรวจความรู้สึกนึกคิดภายในตัวของพวกเขาเองอีกครั้ง รวมถึงจินตนาการถึงอนาคตอันใกล้และไกล ผ่านการรื้อถอน, เคลื่อนย้ายและประกอบใหม่ของตู้ปลากลางแกลเลอรีกล่องขาวที่ถูกทำจากกระจกและบานประตูหนักอึ้งของแกลลอรี่ ถูกประกอบสร้างขึ้นโดย ปรัชญา พิณทอง ศิลปินที่พวกเขาเห็นพ้องตรงกันว่าอยากจะให้จัดนิทรรศการในวาระครบรอบ 10 ปี ของแกลเลอรี 

1

ย้อนมองอดีต 

ทำความรู้จักอ๊อปกับลูกตาล

อ๊อป : ตอนนั้นเราเป็นนักศึกษาภาพยนตร์ และคิดว่าตั้งแต่ที่ได้ทำงานในส่วนของภาพเคลื่อนไหวและด้านวัฒนธรรม ประมาณสิบปีที่แล้ว เราตัดสินใจเปิดพื้นที่ศิลปะกับพาร์ทเนอร์ที่กรุงเทพฯ พวกเราก็เลยได้โอกาสเชิญศิลปิน นักเล่าเรื่อง และคนที่ทำงานภาพเคลื่อนไหวมาร่วมทำงานกับเราและแสดงตัวตนของพวกเขาให้ได้รับการมองเห็นในพื้นที่เมืองมากขึ้น

ลูกตาล : จริง ๆ แล้วเคยทำงานมาหลายส่วนมาก แต่ว่าส่วนใหญ่น่าจะเกี่ยวข้องกับส่วนของวัฒนธรรม เราเรียนจบประวัติศาสตร์ศิลป์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย สนใจด้านงานพิพิธภัณฑ์และการจัดนิทรรศการ

พอช่วงที่เราเริ่มคบกัน เรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่หลายอัน ด้วยความชอบส่วนตัว เราเลยอยากเริ่มทำอะไรของเรากันเอง ก็เลยเกิดขึ้นมาเป็นโปรเจกต์นี้คือ BANGKOK CITYCITY

ทั้งสองคนมารู้จักกันได้อย่างไร

ลูกตาล : เราเจอกันในคลับ (หัวเราะ)

อ๊อป : น่าจะช่วงปลายยุค 90 ประมาณนั้น 

ลูกตาล : ใช่ เมื่อก่อนมันคือสิ่งที่เราใช้เวลา เมื่อก่อนไม่รู้ว่าทำไมการไปคลับจะต้องถูกผูกกับการเป็นเด็กเกเร ซึ่งพวกเรารู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวอะไรเลย แต่นั่นคือพื้นที่ปลอดภัยของเรา ของพวกเพื่อนเราด้วย ไปเพื่อที่จะใช้เวลาอยู่ในช่วงค่ำ เมื่อก่อนมันค่ำมาก ๆ เลยนะ จนถึงเช้าเลย

อ๊อป : ในแง่นึง มันก็เหมือนเป็นพื้นที่ทางเลือกเหมือนกันนะในยุคนั้น ที่เราได้ไปค้นพบวัฒนธรรมทดลองหรืออะไรที่แปลกใหม่ เราน่าจะได้เจอกันในพื้นที่ของวัฒนธรรมทดลองแบบนั้นแหละ สำหรับเรา เรามองว่ามันคือพื้นที่ที่อิสระมากในเวลานั้น ในช่วงวัยนั้น เลยเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเราถึงไปที่นั่น

2

ก่อร่าง สร้างฝันร่วมกัน 

บางกอก ซิตี้ ซิตี้ เริ่มก่อร่างจากความฝันที่อยากเติมช่องว่างให้กับสิ่งที่พวกเขาคิดว่า ขาดหายไปในเมือง จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้ทางศิลปะที่เฉพาะกลุ่มแต่เหนียวแน่น อีกทั้งศิลปินและผู้คนที่ผ่านเข้ามาในการเดินทางร่วมกันกับแกลเลอรีได้สร้างความเป็นไปได้มากมายให้เกิดขึ้นในพื้นที่นี้

ได้นำความรู้ที่เรียนมาปรับใช้มากน้อยแค่ไหน

ลูกตาล : ใช้ค่อนข้างเยอะนะ คิดว่าเรียนค่อนข้างตรงสายเหมือนกัน หมายความว่าเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะมา สนใจภาพยนตร์ สนใจดนตรี สนใจวัฒนธรรมร่วมสมัยในหลาย ๆ บริบท จริง ๆ แล้ว แกลเลอรีน่าจะเป็นอย่างสุดท้ายเลยที่ไม่มีประสบการณ์ หมายความว่า เคยทำงานด้านอื่นมา แต่ไม่เคยทำงานแกลเลอรีเลย โดยเฉพาะแกลเลอรีที่เป็นลักษณะเชิงพาณิชย์ เหมือนเป็นหอศิลป์ที่มีการซื้อขายงานเป็นธุรกิจเกิดขึ้น อันนั้นน่าจะไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่

แต่ว่าใช้เวลาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเรียนรู้มัน แล้วระหว่างเรียนรู้ก็ดึงเอาความรู้ทุกอย่างจากประสบการณ์ในอดีตมา เหมือนการจัดงานกับเพื่อนเล็ก ๆ ตอนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานกัน หรือการพูดคุยกับศิลปิน พัฒนาแนวคิด ซึ่งจริง ๆ มันเหมือนกับสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ออกมาในรูปแบบของพื้นที่ทางศิลปะที่หน้าตาแบบนี้เฉย ๆ 

อ๊อป : ตอนที่เราเปิดแกลเลอรีแรก ๆ ช่วงสิบปีที่แล้วมันยังไม่มีพื้นที่แสดงงานศิลปะสำหรับศิลปินบางกลุ่ม เราคิดว่าหลัก ๆ ที่ยังไม่มีเลยตอนนั้นคือการแสดงงานศิลปะที่เป็นภาพเคลื่อนไหว,การแสดงเพอฟอร์ม หรือเล่นดนตรีในบริบทที่ร่วมสมัยหรือในบริบทของแกลเลอรี่

เราเลยคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ขาดหายไปจากความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ และแน่นอนว่าเราอยากนำสิ่งเหล่านี้เข้ามาร่วมในโปรแกรมของบางกอก ซิตี้ซิตี้ นอกจากสิ่งเหล่านี้มันก็ยังมีสิ่งอื่นอีกที่เกิดขึ้นและดำเนินมาด้วยกัน เหมือนที่ลูกตาลบอกว่าเราอยากเพิ่มมันเข้าไปในโปรแกรมของแกลเลอรีเช่นกัน อย่างเช่น ศิลปะเมือง การให้ความรู้ การตีพิมพ์ หรืออย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง 

สำหรับเรา เรารู้สึกว่าเราชอบภาพยนตร์มากแล้วก็ค่อยมาหลงใหลในวิธีการเล่าเรื่อง (storytelling) พอเวลาผ่านไปเราได้รับรู้ว่าการเล่าเรื่องมันขยายขอบเขตไปมากกว่าในภาพยนตร์ มันสามารถเป็นอะไรก็ได้

ระหว่างที่ทำงานแกลเลอรีมา มองเห็นความเป็นไปได้อะไรบ้างหรือคาดหวังที่จะเห็นอะไรมากขึ้น

อ๊อป : แกลเลอรีนี้สนใจเรื่องพื้นที่ที่มันเป็นจุดร่วมตรงกลางของกระแสหลักและกระแสรอง เราอยากให้แกลเลอรีมันอยู่ระหว่างสองกระแสนี้ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

แต่นอกจากที่เราทำแกลเลอรี่ในเชิงพาณิชย์ด้วยแล้ว เราก็ยังอยากมองเห็นความเป็นไปได้ในพื้นที่ตรงนี้มากกว่านี้ เราอยากนำเสนอสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มันมีพื้นที่มากขึ้นผ่านการทำงานร่วมกันทางศิลปะ ระหว่างแกลเลอรีและผู้ทำงานร่วม อะไรประมาณนั้น 

หลาย ๆ อย่างมันน่าจะมาจากสิ่งที่เรากับลูกตาลรู้สึกว่าขาดหายไปจากเมืองนี้ แล้วโปรเจกต์ที่เราทำร่วมกันต้องการมาเติมเต็มช่องว่างนั้นในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายนี้‍

ลูกตาล : นอกจากโปรแกรมแล้ว คิดว่าเหมือนเราได้เพื่อนหรือคอมมูนิตี้ที่มันค่อนข้างขยายออกด้วย คือถ้าเราไม่ได้ทำแกลเลอรี เราก็ไม่มีพื้นที่พอที่จะมีโอกาสได้เจอกับคนที่อาจจะคิดเหมือนเรา แล้วด้วยความที่โปรแกรมของที่แกลเลอรีมีความหลากหลายค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเลยมีคนที่เข้ามาจากหลาย ๆคอมมูนิตี้ที่มาอยู่ด้วยกัน 

จนพอตอนเราเริ่มโตขึ้น คอมมูนิตี้นี้ไม่ได้ขยายแค่ในเชิงสาขาหรือแวดวงเฉพาะของมัน แต่ว่ามีเรื่องการเปลี่ยนผ่านของรุ่นเข้ามาด้วย ซึ่งน่าสนใจคือ คิดว่าจริง ๆ แล้วนอกจากโปรแกรมที่เราได้ทำ สิ่งที่เกิดขึ้น มันคือเพื่อนมั้ง เหมือนมีคนที่ยังมีความเชื่อหรือยังมีความต้องการอะไรในสิ่งที่มันใกล้ ๆ กัน ถ้าเกิดให้พูดเป็นแบบรูปธรรมมากขึ้น

อ๊อป : นอกเหนือจากนั้น เราคิดว่าอีกหนึ่งความฝันที่เรามีต่อพื้นที่นี้ ก็คือการได้ทำงานร่วมกับศิลปินและนักปฏิบัติงานหลากหลายแขนง ที่สามารถนำเสนอผลงานให้กับทั้งผู้ชมในประเทศและต่างประเทศได้ และพยายามผสมผสานวิธีคิดที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้ไว้ด้วยกัน

‍

ทั้งสองคนมีหลักเกณฑ์อะไรในการเลือกศิลปินที่จะมาร่วมงานแบบนั้นไหม

ลูกตาล : คือเราชอบคนที่อยู่ตรงกลางมาก ๆ เลย อาจจะไม่ได้ตรงกลางแบบ in the middle นะ แต่คือแฉลบไปอันนี้ได้ แล้วก็มาอันนี้ได้ ระหว่างความป๊อบกับความอาจจะเฉพาะกลุ่ม (niche) หรือสิ่งที่คนกลุ่มเล็กสนใจกับคนกลุ่มใหญ่สนใจ 

แต่ว่าศิลปินที่ทำงานไม่ได้มีการกำหนดประเภทด้วยซ้ำ ไม่ได้ต้องมีเป็นนักวาดนะ ต้องนักปั้นนะ มันแค่ใครวิ่งไปวิ่งมา แล้วรู้สึกว่ามันขับเคลื่อนเรา รู้สึกว่าเราอยากที่จะทำอะไรด้วยกัน เราก็ก้าวไปด้วยกัน เราก็พาสิ่งเหล่านี้ไปด้วยได้ แต่มันก็เป็นอะไรที่เล็ก ๆ นะ มันไม่ได้แบบใหญ่โตอะไร

อ๊อป : เราเห็นด้วยกับลูกตาลเลย นอกจากนั้น เราว่าคนที่เข้ามาดูงานของศิลปินแต่ละคนก็เข้ามาในช่วงเวลาที่ต่างกัน มันก็เลยกลายเป็นการผสมกันของผู้คนและประสบการณ์ทั้งหมด ซึ่งเราว่ามันคือหัวใจสำคัญของสิ่งที่เราทำเลยนะ และมันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราใช้ในการเลือกศิลปินที่จะทำงานด้วยเหมือนกัน

เราทำงานกับศิลปินแล้วก็ผู้ปฏิบัติงานในแขนงต่าง ๆ เยอะเหมือนกัน แล้วเราคิดว่า หนึ่งในเจตนาของเราก็คืออยากจะแบ่งปันมันกับสาธารณะ คือถ้าผู้ชมได้อะไรกลับไป หรือมุมมองของเขาเปลี่ยนไปไม่ว่าทางใดก็ตาม เราก็รู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น ในภาพรวมทั้งหมดเลย

‍

3

การเดินทางใน ‘โปรเจกต์’ ตลอดสิบปี

©BANGKOK CITYCITY GALLERY

คำว่า “transformation” สำหรับทั้งสองคนคืออะไร

อ๊อป : พอเราทำโปรเจกต์นี้มา 10 ปี และตอนนี้ที่ครบสิบปี ทั้งจากงานนี้ แล้วก็จากอะไรหลาย ๆ อย่าง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเมือง เราเลยเหมือนกำลังย้อนกลับมาดูว่า ยังมีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ หรือยังขาดไปบ้าง แล้วก็มีอะไรอีกที่เราสามารถเสนอหรือผลักดันในโลกของวัฒนธรรมในกรุงเทพฯ หรือในบริบทที่กว้างกว่านั้นได้บ้าง

ลูกตาล : ถ้าถามเรื่อง Transformation คิดว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่าน และมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างตลอดเวลา อย่างที่บอก ทุกอย่างที่มันเคลื่อนตัว มันค่อนข้างก่อตัวเรา ให้เราก่อร่างพื้นที่ ให้มันปรับสภาพ คิดว่าจริง ๆ แล้ว มันแค่การปรับสภาพให้มันอยู่ในสภาพที่เราเชื่อว่ามันควรที่จะเป็น คือเราไม่ได้หมายความว่าเราทำได้ดีทั้งหมด แต่หมายถึงว่า อย่างน้อยที่สุด เรารู้สึกว่ามันคือธรรมชาติของสิ่งที่มันต้องเกิดขึ้น การเปลี่ยนผ่านความรู้สึก การก่อร่างโปรเจคต์หรืออะไรก็ตาม

ทำไมถึงเรียกบางกอก ซิตี้ซิตี้ว่า 'โปรเจกต์'

ลูกตาล : เพราะเรามองเป็นโปรเจคต์จริง ๆ คือโปรเจคต์แกลเลอรีเป็นโปรเจคต์ 10 ปีของเรา เพียงแต่ว่ามันเป็นโปรเจคต์ที่มันต้องสร้างสถานที่ขึ้นมาเพื่อที่จะจัดการ คือจริง ๆ เราอาจจะไม่ต้องสร้างอันนี้ขึ้นมาก็ได้ แต่หลังจากประสบการณ์ก่อนหน้ามันเล่าให้เราฟังว่า ถ้าเราไม่มีพื้นที่ของเราเอง เราจะไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในพื้นที่ สมมติเรามีพื้นที่ 200 ตารางเมตร ที่เราสามารถมีส่วนร่วมสร้างสู่อะไรสักอย่างที่เราเชื่อโดยที่เรายังมีสิทธิหรืออิสรภาพในการตัดสินใจได้อยู่ นั่นคือภาพฝันของโปรเจคต์ของเรา แต่ว่ามันออกมาอยู่ในรูปแบบของอาร์ตแกลเลอรี

ซึ่งตอนแรกมันไม่ได้จะเป็นแกลเลอรีเชิงพาณิชย์ด้วยซ้ำ คือมันต้องการที่จะเป็นเหมือนพื้นที่ศิลปะ เราไม่ได้มีความคิดเรื่องการขาย แต่ว่าเราไม่รู้จะหาเงินยังไงมาทำให้ความฝัน 10 ปีของเรา มันประสบสำเร็จได้ เราก็เลยกลับไปนั่งดูว่าโมเดลอะไรบ้างที่มันยังเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราทำอยู่ ซึ่งมันก็คือโมเดลของการทำธุรกิจในโลกศิลปะ ในตลาดศิลปะ

แต่พอหลังจากเราลงไปในตลาดศิลปะ เราก็รู้ว่าจริง ๆ มันมีอะไรที่เราชอบ แล้วก็มีอะไรที่เราอาจจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจด้วยเท่าไหร่ เราก็ต้องมาปรับตามสิ่งที่เรารู้สึกสบายใจด้วยมากกว่า

อ๊อป : ใช่ บางทีที่เราเรียกมันว่าโปรเจกต์เพราะว่าเราไม่แตะเรื่องธุรกิจมาก่อน มันค่อนข้างเหมือนความฝัน มันเหมือนการทดลองเราเลยเรียกมันว่าโปรเจกต์เพราะแบบนั้น เราคิดว่าเรื่องธุรกิจมันค่อนข้างขึ้นอยู่กับช่วงเวลาหรือระยะเวลามั้ง

เจอความท้าทายอะไรในการจัดการตามกรอบของแกลเลอรีเชิงพาณิชย์บ้าง

ลูกตาล : เราก็ไม่ได้มองเรื่องธุรกิจหรือตลาดเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยนะ คือหมายความว่าจริง ๆ แล้วมันก็มีระบบระเบียบอะไรของมันอยู่ แต่ถามด้วยความที่แบบเราอาจจะไม่ได้มาจากพื้นเพที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว บางทีเราก็อยากลองดูด้วยว่ามันเวิร์คหรือมันไม่เวิร์ค คือระหว่างทางเราก็พยายามที่จะทดลองไปด้วย

พูดถึงตลาดศิลปะหรือแกลเลอรีเชิงพาณิชย์ในสเกลที่เป็นพื้นฐานของแกลเลอรีในโลก คือเรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมันยังไม่มีที่นี่ขนาดนั้น ที่เราจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง สมมติว่าถ้าเกิดเราไปอยู่ในยุโรปหรือเราไปลอนดอน เราจะรู้สึกว่ามันมีโครงสร้างภายใน มันมีของทุกอย่าง มันมีคนเหมือนกัน มันมีตัวอย่างให้ศึกษา มันมีคนปูทางให้เราไปแล้ว คือระบบภาษี ระบบการจัดการทุนจากนู่นนี่ คนซื้ออะไรนี้

แต่ตอนนี้เหมือนกับเราต้องกึ่ง ๆ มาเริ่มใหม่ มาลองดูใหม่ ว่าโอเค พอเรากลับไปศึกษาในอดีตแล้วมันไม่เวิร์คเพราะว่าอะไร เหมือนศึกษาประวัติศาสตร์ของมันก่อนที่เราจะเปิด

อ๊อป : แต่เราคิดว่าเวลาเริ่มต้นลองอะไรใหม่ มันต้องเกิดความท้าทายอยู่แล้ว เราก็แค่รับมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของเรา แล้วก็หาหนทางที่จะทำให้มันอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ 

‍

4

สำรวจตัวตนและแนวคิดผ่านนิทรรศการครบรอบสิบปี

“นอกจากการที่มันจะพาตัวของมันเองมาแล้ว มันเหมือนมันพาอดีตของมันกลับมาหาเราด้วย”

ลูกตาลกล่าวหลังจากพูดถึง นิทรรศการ A Solo Project โดย ปรัชญา พิณทอง ที่จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 10 ปี ของ บางกอก ซิตี้ซิตี้ ซึ่งจะเปิดแสดงในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 กระบวนการเกิดขึ้นจากการที่ปรัชญา เสนอให้นำองค์ประกอบของพื้นที่แกลเลอรีอย่างประตูหรือกระจกออกมาจากจุดเดิมที่เคยคงอยู่ การรื้อถอนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการรื้อสร้างความหมายใหม่ให้กับพื้นที่แกลเลอรีไปพร้อมกัน นอกจากนี้กระบวนการดังกล่าวไม่เพียงกระตุ้นให้เกิดคำถามจากผู้เข้าชมเพียงเท่านั้น หากยังซ่อนสัญญะไว้ให้ผู้ก่อตั้งบางกอก ซิตี้ซิตี้ หันกลับมาตั้งคำถามและสะท้อนถึงแนวคิดการทำงานแกลเลอรีในอดีตและการทำความเข้าใจศิลปะของพวกเขาที่เคยเชื่อมา หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามกับโปรเจคในอนาคต

A solo project by Pratchaya Phinthong

‍ระหว่างกระบวนการจัดแสดงนิทรรศการสำหรับครบรอบสิบปี ทั้งสองคนมีโอกาสทบทวนสิ่งที่ทำมาทั้งหมดไปด้วยไหม

ลูกตาล : คิดว่ามันเป็น conversation ที่ค่อนข้างเรียบง่ายมาก ๆ เลย มันไม่ได้เป็นการพยายามที่จะมานั่งคิดทบทวนกันอย่างจริงจังว่าถ้าเกิดสมมติในโอกาสครบรอบ 10 ปีของเรา เราจะทำอะไร เราก็แค่คุยกันว่าเราถ้าพี่โต๊ะมาทำการจัดแสดงผลงาน 10 ปีให้เราก็ดีนะ ซึ่งเป็นไปได้แน่นอนที่เขาจะปฏิเสธ

แล้วเราก็แค่หันมามองหน้ากันว่า โอเค ไอเดียนี้ดี ก็เลยชวนตัวศิลปินคือ พี่โต๊ะ ปรัชญาพิณทอง มาทำการแสดงผลงานด้วยกัน แล้วเราก็อธิบายให้เขาฟังว่า มันจะเป็นโชว์ครบรอบ 10 ปีของเรา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตกปากรับคำอะไร 

เขาหายไปแบบ 2-3 เดือน และกลับมาพร้อมกับไอเดียที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ โดยที่ก่อนที่จะอธิบายข้อเสนอหรือไอเดียที่เขาจะทำ เขาแค่บอกว่าลูกตาลกับอ๊อปไม่ทำก็ได้นะ พี่ก็ไม่ทำเหมือนกัน คือมันไม่ได้มีตัวเลือกหนึ่งสอง (หัวเราะ)

อ๊อป : เรารู้สึกดีใจมากที่ได้เชิญ ปรัชญา มาทำเพราะเราคิดว่าเขาทำให้เราต้องกลับมาทบทวนหรือมองเห็นความเป็นไปได้สำหรับอนาคตผ่านนิทรรศการนั้น เหมือนเป็นการเปิดมุมมองใหม่ให้กับเรา ว่าเราจะออกแบบอนาคตของแกลเลอรี่ในอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างไร

ซึ่งเราก็คิดว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราอยากจะทำอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในช่วงอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เราก็จะพยายามผลักดันสิ่งที่เราอยากทำผ่านนิทรรศการ หรืออาจจะรวมถึงโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย

ลูกตาล : วันก่อนที่เดินอยู่ตรงที่ติดตั้งก็บอกว่า เออ มันก็เป็นงานที่ดีมาก ๆ เหมือนกันนะ ตอนที่เรายืนอยู่กับมัน ณ ตอนที่มันเสร็จแล้วประมาณนึง

แต่ว่าก่อนหน้านี้มันคือการที่จะได้มาซึ่งการจะถอดประตูหรือกระจกหรืออะไรทั้งหลาย ส่วนตัว เราคิดว่ามันน่าสนใจตรงที่เราได้กลับไปค้นเอกสารเก่า ๆ บางทีกระจกมันวางอยู่ของมันอย่างนั้น มันก็ยังไม่ได้แตกอะไร หน้าบาน ด้านหน้า แต่ว่าพอถามคำถามว่า แล้วมันไซส์เท่าไหร่? มันทำด้วยวัสดุอะไร? มันมาตัดได้ไหม ? เราเลยต้องไปค้นเอาเอกสารเก่า ซึ่งสมัยนั้นมันก็ไม่ได้เป็นดิจิตัลไฟล์ ซึ่งเราชอบเก็บของพวกนั้นอยู่แล้วเลยต้องกลับไปอ่าน เสร็จแล้วเราก็ต้องติดต่อไปยังคนเริ่มก่อสร้างมัน

นอกจากการที่มันจะพาตัวของมันเองมาแล้ว มันเหมือนมันพาอดีตของมันกลับมาหาเราด้วย พาคนที่เราเคยทำงานด้วย ซึ่งก็แน่นอนคืออย่างสมมติว่าพี่ที่ติดตั้งกระจกก็อาจจะไม่ได้เป็นคนที่มาดูการแสดงผลงานเราหรอก แต่ว่าเขากลับมาอีกทีเขาก็บอกว่า “โห นี่ยังจำได้อยู่นะเนี่ยว่าเอาอันนี้แบกเข้ามา”

เรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วตรงนั้นคือสิ่งที่พี่โต๊ะให้กับเรา เขามีกระบวนการที่ทำให้เราต้องกลับไปจัดการกับอีกหลายอย่างมากเลยในอดีต อย่างเช่นการที่เราจะต้องโยกเอาทั้งห้องสมุดออกมา มันก็เป็นส่วนหนึ่ง คือจริงๆแล้วตัว BOOKSHOP LIBRARY ที่เป็นโปรเจกต์เอง ไม่ได้คิดว่าจะต้องเอามันออกหรืออะไรเลย มันอยู่ของมันอย่างนั้น มันทำหน้าที่ของมันอย่างดี แต่เสร็จแล้วคราวนี้มันเป็นความคิดที่ว่า ถ้าเกิดสมมติพี่โต๊ะจะขอให้เรารื้อห้องทั้งหมดซึ่งเราตกลงแล้ว ไม่มีปัญหาหรอกการที่จะย้ายของออก แต่เสร็จแล้วมันจะยังไง เพราะฉะนั้นเราต้องเอาของออกจากในห้องนั้น ที่มีของเยอะมาก เราเลยต้องมานั่งคุยกัน พอมานั่งคิดทบทวนดูจริง ๆ คือเราจะเอากระจกออกแล้วเราจะเอามันกลับมาใส่แล้ว เราจะทำเหมือนกับที่เราทำแบบเดิม หรอ? มันก็เลยกลายเป็นคำถาม 

เหมือนหลังจากจบงานปรัชญาเราก็จะเอาชั้นหนังสือกลับมาวาง ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม ก็ดูเหมือนงานนั้นไม่ได้ทำงานกับเราเรารู้สึกว่าจริง ๆ เราควรจะลองคิดอะไรแบบใหม่ดูด้วยบ้าง หรือจริง ๆ มันอาจจะไม่ได้คิดคำถามนั้นด้วยซ้ำ มันแค่แบบ “เห้ย ไม่ได้นะ มันต้องคิดอะไรนิดนึงหรือเปล่า”

‍

5

อนาคตอันใกล้ ..ไกล 

พื้นที่ของบางกอก ซิตี้ซิตี้ แกลเลอรีประกอบด้วยพื้นที่สองพื้นที่ คือ หนึ่ง–BOOKSHOP LIBRARYสอง–ห้องสี่เหลี่ยมสำหรับจัดแสดงงาน ทั้งสองพื้นที่ได้สร้างประสบการณ์ร่วมของผู้ใช้พื้นที่ ความสัมพันธ์ของผู้คนและพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตร ทำให้บางกอก ซิตี้ซิตี้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนและความทรงจำของผู้คนไปพร้อมกัน

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา BOOKSHOP LIBRARY ได้ประกาศปิดพื้นที่อย่างถาวร 

เรื่องราวของบุ๊คช็อป ไลบรารี่จะเป็นอย่างไรต่อไป

ลูกตาล : ตอนที่เราบอกว่าจะปิดบุ๊คช็อปหลังจากจบการแสดงผลงาน เรามีความคิดว่าถ้าเรากลับมาเป็นบุ๊คช็อปเหมือนเดิม หรือหน้าตาของมันเปลี่ยน หรือเราอาจจะไม่ได้กลับมา เราอยากบอกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมในฐานะที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ตรงนั้น แน่นอนตัวพื้นที่คือส่วนหนึ่ง และ แพรว กานต์ธิดา บุษบา ผู้ดูแลตัวโปรเจกต์บุ๊คช็อปก็สำคัญมากเช่นกัน เพราะแพรวคอยทำหน้าที่ผู้ดูแลพื้นที่หรือโฮสต์ได้ดีมาก และทำให้พื้นที่ตรงนี้ไม่ดูเงียบเหงาจนเกินไป แต่เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ยังดำเนินต่อไปได้

อ๊อป : โปรเจกต์บุ๊คช็อป ไลบรารี่ ที่เป็นพื้นที่แบบ physical จบไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี่เอง แต่เราเชื่อในเรื่องของการทำสิ่งพิมพ์อยู่แล้ว ในอนาคตมันอาจจะกลับมาในรูปแบบอื่น หรือโผล่ขึ้นมาในที่อื่นก็ได้ แค่ตอนนี้มันยังไม่ได้อยู่ในส่วนหน้าของแกลเลอรีเฉย ๆ แต่ถ้าเราคิดออกหรือวางแผนได้ว่าโปรเจกต์ด้านสิ่งพิมพ์จะไปทางไหนต่อ เราก็จะแจ้งให้ทุกคนรู้แน่นอน 

ต่อจากนี้ในอนาคต ทั้งสองคนมีสิ่งที่อยากทำหรือความฝันที่อยากพัฒนาต่อไหม

อ๊อป : โดยพื้นฐานแล้ว พอองค์ประกอบต่าง ๆ มันกลับไปอยู่ในที่ของมัน เราก็เหมือนมีพื้นที่ให้ฝันต่อว่าเราจะทำอะไรต่อไป และเราคงจะไม่ทำมันเหมือนที่เคยทำอีกแล้ว เรารู้สึกว่าเราสนใจงานภาพเคลื่อนไหว สนใจการแสดงสด สนใจเสียง แล้วก็เรื่องขนาดกับสถานที่ด้วยเหมือนกัน

เราเลยกำลังสำรวจสิ่งเหล่านี้สำหรับช่วงปีข้างหน้า เราว่าช่วงเวลานี้มันสำคัญและมีความหมายสำหรับเราเพราะมันนับเป็นอีกหนึ่งช่วงชีวิตของการได้ทำอะไรด้วยกัน แล้วก็ได้สำรวจไปด้วยกันว่าต่อไปมันจะสามารถเป็นอะไรได้บ้าง มันไม่ใช่แค่ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แต่เรารู้สึกว่าเวลาที่มีคนหลายคนมาร่วมทำบางอย่างด้วยกัน มีประสบการณ์ร่วมกัน ช่วงเวลาเหล่านั้นมันคงอยู่ในความทรงจำของเราได้นานจริง ๆ 

ลูกตาล : หลังจากผลิตการจัดแสดงผลงานออกมา 10 ปี เรารู้สึกว่าตอนนี้อยากจะผลิตของที่จับต้องไม่ได้มากขึ้น อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วมันหายไป เพราะว่าถ้าเกิดพูดแบบในเชิงปฏิบัติเลย ทำแกลเลอรีหรือทำมิวเซียมหรือทำพื้นที่ศิลปะอะไรก็ตาม มันจะต้องมีพื้นที่ในการเก็บคลังข้อมูล แล้วลองคิดดูคลังข้อมูลของเรามันคือคลังข้อมูลของทุกเวลา 10 ปี มันเยอะไปหมดเลย

เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราจะลงมือทำสิ่งนี้ต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือเปล่า ? หรือจะค่อย ๆ ปลดสัมภาระบางอย่างออก หรือว่าเราจะเลือกวิธีการในการจัดการกับสัมภาระนี้ใหม่ ? มันเหมือนกับโจทย์ ซึ่งจริง ๆ มันก็สนุกดีที่ศิลปินเป็นคนทิ้งโจทย์กลับมาให้กับเราเองด้วย 

เพราะถ้าเกิดสมมติว่างาน 10 ปีเป็นการรวมศิลปินแกลเลอรีทั้งหมด ก็อาจจะเป็นความคิดอีกความคิดหนึ่ง แบบครอบครัว คอมมูนิตี้ เช่น เราจะไปข้างหน้ากันต่อ ? 

แต่อันนี้มันคือการรื้อของ รื้อสร้างใหม่ แล้วมันก็ตรงกันด้วยกับการที่เราเรียกว่า ‘โปรเจกต์’ คือ แล้วคุณจะทำโปรเจกต์นี้ต่อแบบไหนเพราะในเมื่อคุณบอกว่าโปรเจคนี้ของคุณจบที่ 10 ปี ? 

opening day of A solo project by Pratchaya Phinthong
Read more
Interview
‘เพิร์ธ-หฤษฎ์ ศรีขาว’ กับนิทรรศการ ‘Imago’ การเขียนซ้ำบนภาพทรงจำที่เคยพร่าเลือน
ความทรงจำมีความเสถียรมากน้อยแค่ไหน หรือเป็นแค่เมฆก้อนกระจัดกระจายที่ลอยไปมา คอยเวลาที่จะเลือนรางไปจากสารบบร่างกายของเราในที่สุด?
Art & Design
The Soundtrack of ‘อรุณใต้’ ซาวด์เสียงเสริมประสบการณ์ ‘Living Cinema’ ทิ้งท่วงทำนองจากตัวบท ให้ตกตะกอนในใจของผู้ชม
ซาวด์เสียงเสริมประสบการณ์ ‘Living Cinema’ ให้ไม่จบลงแค่ในพื้นที่ แต่ยังทิ้งท่วงทำนองจากตัวบท ให้ตกตะกอนในใจของผู้ชมต่อไปอีก
Interview
การเดินทางจาก “นคร-สวรรค์” สู่เส้นทางของชีวิตที่ไม่มีสิ้นสุด ของโรส—พวงสร้อย อักษรสว่าง
จังหวะเวลาและชะตาในการไหลไปสู่เส้นทางชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วยสิ่งที่เลือกและไม่ได้เลือก ‘โรส - พวงสร้อย อักษรสว่าง
Read more
Interview
‘เพิร์ธ-หฤษฎ์ ศรีขาว’ กับนิทรรศการ ‘Imago’ การเขียนซ้ำบนภาพทรงจำที่เคยพร่าเลือน
ความทรงจำมีความเสถียรมากน้อยแค่ไหน หรือเป็นแค่เมฆก้อนกระจัดกระจายที่ลอยไปมา คอยเวลาที่จะเลือนรางไปจากสารบบร่างกายของเราในที่สุด?
Art & Design
The Soundtrack of ‘อรุณใต้’ ซาวด์เสียงเสริมประสบการณ์ ‘Living Cinema’ ทิ้งท่วงทำนองจากตัวบท ให้ตกตะกอนในใจของผู้ชม
ซาวด์เสียงเสริมประสบการณ์ ‘Living Cinema’ ให้ไม่จบลงแค่ในพื้นที่ แต่ยังทิ้งท่วงทำนองจากตัวบท ให้ตกตะกอนในใจของผู้ชมต่อไปอีก
Interview
การเดินทางจาก “นคร-สวรรค์” สู่เส้นทางของชีวิตที่ไม่มีสิ้นสุด ของโรส—พวงสร้อย อักษรสว่าง
จังหวะเวลาและชะตาในการไหลไปสู่เส้นทางชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วยสิ่งที่เลือกและไม่ได้เลือก ‘โรส - พวงสร้อย อักษรสว่าง
Archive
About Us
Collaborate with Us
Contact Us
Subscribe to EQ
Stay up to date with the latest stories
Thank you!
Oops! Something went wrong while submitting the form.