BANGKOK CITYCITY ก้อน ‘โปรเจกต์’ ฝัน ตลอดสิบปีของ ‘อ๊อป’ และ ‘ลูกตาล’
BANGKOK CITYCITY GALLERY ดำเนินมาถึงช่วงเวลาครบรอบ 10 ปี ที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต จุดเปลี่ยนนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนไปเป็นสิ่งอื่นสิ่งใดที่ห่างไกลจากเดิม เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของพื้นที่ศิลปะ รูปแบบที่บางกอก ซิตี้ ซิตี้ จะได้เปิดรับผู้คนที่ทำงานศิลปะและวัฒนธรรมให้ได้รับการมองเห็นมากขึ้นรวมถึงสำรวจความคิดที่หลากหลายมากขึ้น รูปแบบนี้เกิดจากความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นของ อ๊อป–อรรคพล สุทัศน์ ณ อยุธยา กับ ลูกตาล–ศุภมาศ พะหุโล ทั้งสองต้องการให้พื้นที่ศิลปะเกิดขึ้นในเมืองที่พวกเขาใช้ชีวิต เหมือนกับความรักที่เขาจะมอบให้กับเมืองในแบบที่อ๊อปเคยพูดมาตลอด โดยเริ่มต้นจากความฝันและกำลังขับเคลื่อนมาสู่การเป็นแกลเลอรี่ใจกลางเมือง ที่ได้ก่อตัวเป็นพื้นที่ศิลปะที่ขยายตัวออกไปสู่ผู้คนและชุมชนที่หลากหลาย
นับจากจุดเริ่มต้นจนเข้าปีที่สิบ เส้นทางของบางกอก ซิตี้ ซิตี้ แกลเลอรี่ทำให้คนในสังคมเริ่มมองเห็นความสำคัญของการมีอยู่ของพื้นที่ศิลปะและพื้นที่ทางเลือกมากขึ้น อีกทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่เข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากมายที่เข้ามา
ผ่านศิลปะหลากหลายแขนง เกิดเป็นบทสนทนาทั้งจาก หนังสือในห้องสมุดของแกลอรี่, พอดแคสต์ออนไลน์, การจัดโปรแกรมสาธารณะที่สร้างขึ้นเพื่อการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่าง อาทิเช่น ศิลปิน,นักวิชาการ,ภรรฑารักษ์,นักวิจัย ฯลฯ ในแต่ละงานของศิลปินและพื้นที่นี้ยังคอยสะท้อนถึงคำถามว่าพื้นที่ศิลปะมีมากเพียงพอหรือยังสำหรับผู้คนในเมือง
การเปลี่ยนผ่านนี้นำพาเรามาสู่บทสนทนาร่วมกับ อ๊อป และ ลูกตาล บทสนทนานี้ไม่ใช่คำบอกลา บางกอก ซิตี้ ซิตี้ แต่เป็นบทสนทนาที่เราอยากเชื้อเชิญให้ทั้งคู่มองย้อนกลับไปยังอดีตและสำรวจความรู้สึกนึกคิดภายในตัวของพวกเขาเองอีกครั้ง รวมถึงจินตนาการถึงอนาคตอันใกล้และไกล ผ่านการรื้อถอน, เคลื่อนย้ายและประกอบใหม่ของตู้ปลากลางแกลเลอรีกล่องขาวที่ถูกทำจากกระจกและบานประตูหนักอึ้งของแกลลอรี่ ถูกประกอบสร้างขึ้นโดย ปรัชญา พิณทอง ศิลปินที่พวกเขาเห็นพ้องตรงกันว่าอยากจะให้จัดนิทรรศการในวาระครบรอบ 10 ปี ของแกลเลอรี

1
ย้อนมองอดีต
ทำความรู้จักอ๊อปกับลูกตาล
อ๊อป : ตอนนั้นเราเป็นนักศึกษาภาพยนตร์ และคิดว่าตั้งแต่ที่ได้ทำงานในส่วนของภาพเคลื่อนไหวและด้านวัฒนธรรม ประมาณสิบปีที่แล้ว เราตัดสินใจเปิดพื้นที่ศิลปะกับพาร์ทเนอร์ที่กรุงเทพฯ พวกเราก็เลยได้โอกาสเชิญศิลปิน นักเล่าเรื่อง และคนที่ทำงานภาพเคลื่อนไหวมาร่วมทำงานกับเราและแสดงตัวตนของพวกเขาให้ได้รับการมองเห็นในพื้นที่เมืองมากขึ้น
ลูกตาล : จริง ๆ แล้วเคยทำงานมาหลายส่วนมาก แต่ว่าส่วนใหญ่น่าจะเกี่ยวข้องกับส่วนของวัฒนธรรม เราเรียนจบประวัติศาสตร์ศิลป์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย สนใจด้านงานพิพิธภัณฑ์และการจัดนิทรรศการ
พอช่วงที่เราเริ่มคบกัน เรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่หลายอัน ด้วยความชอบส่วนตัว เราเลยอยากเริ่มทำอะไรของเรากันเอง ก็เลยเกิดขึ้นมาเป็นโปรเจกต์นี้คือ BANGKOK CITYCITY
ทั้งสองคนมารู้จักกันได้อย่างไร
ลูกตาล : เราเจอกันในคลับ (หัวเราะ)
อ๊อป : น่าจะช่วงปลายยุค 90 ประมาณนั้น
ลูกตาล : ใช่ เมื่อก่อนมันคือสิ่งที่เราใช้เวลา เมื่อก่อนไม่รู้ว่าทำไมการไปคลับจะต้องถูกผูกกับการเป็นเด็กเกเร ซึ่งพวกเรารู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวอะไรเลย แต่นั่นคือพื้นที่ปลอดภัยของเรา ของพวกเพื่อนเราด้วย ไปเพื่อที่จะใช้เวลาอยู่ในช่วงค่ำ เมื่อก่อนมันค่ำมาก ๆ เลยนะ จนถึงเช้าเลย
อ๊อป : ในแง่นึง มันก็เหมือนเป็นพื้นที่ทางเลือกเหมือนกันนะในยุคนั้น ที่เราได้ไปค้นพบวัฒนธรรมทดลองหรืออะไรที่แปลกใหม่ เราน่าจะได้เจอกันในพื้นที่ของวัฒนธรรมทดลองแบบนั้นแหละ สำหรับเรา เรามองว่ามันคือพื้นที่ที่อิสระมากในเวลานั้น ในช่วงวัยนั้น เลยเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเราถึงไปที่นั่น
2
ก่อร่าง สร้างฝันร่วมกัน
บางกอก ซิตี้ ซิตี้ เริ่มก่อร่างจากความฝันที่อยากเติมช่องว่างให้กับสิ่งที่พวกเขาคิดว่า ขาดหายไปในเมือง จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้ทางศิลปะที่เฉพาะกลุ่มแต่เหนียวแน่น อีกทั้งศิลปินและผู้คนที่ผ่านเข้ามาในการเดินทางร่วมกันกับแกลเลอรีได้สร้างความเป็นไปได้มากมายให้เกิดขึ้นในพื้นที่นี้
ได้นำความรู้ที่เรียนมาปรับใช้มากน้อยแค่ไหน
ลูกตาล : ใช้ค่อนข้างเยอะนะ คิดว่าเรียนค่อนข้างตรงสายเหมือนกัน หมายความว่าเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะมา สนใจภาพยนตร์ สนใจดนตรี สนใจวัฒนธรรมร่วมสมัยในหลาย ๆ บริบท จริง ๆ แล้ว แกลเลอรีน่าจะเป็นอย่างสุดท้ายเลยที่ไม่มีประสบการณ์ หมายความว่า เคยทำงานด้านอื่นมา แต่ไม่เคยทำงานแกลเลอรีเลย โดยเฉพาะแกลเลอรีที่เป็นลักษณะเชิงพาณิชย์ เหมือนเป็นหอศิลป์ที่มีการซื้อขายงานเป็นธุรกิจเกิดขึ้น อันนั้นน่าจะไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่
แต่ว่าใช้เวลาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเรียนรู้มัน แล้วระหว่างเรียนรู้ก็ดึงเอาความรู้ทุกอย่างจากประสบการณ์ในอดีตมา เหมือนการจัดงานกับเพื่อนเล็ก ๆ ตอนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานกัน หรือการพูดคุยกับศิลปิน พัฒนาแนวคิด ซึ่งจริง ๆ มันเหมือนกับสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ออกมาในรูปแบบของพื้นที่ทางศิลปะที่หน้าตาแบบนี้เฉย ๆ
อ๊อป : ตอนที่เราเปิดแกลเลอรีแรก ๆ ช่วงสิบปีที่แล้วมันยังไม่มีพื้นที่แสดงงานศิลปะสำหรับศิลปินบางกลุ่ม เราคิดว่าหลัก ๆ ที่ยังไม่มีเลยตอนนั้นคือการแสดงงานศิลปะที่เป็นภาพเคลื่อนไหว,การแสดงเพอฟอร์ม หรือเล่นดนตรีในบริบทที่ร่วมสมัยหรือในบริบทของแกลเลอรี่
เราเลยคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ขาดหายไปจากความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ และแน่นอนว่าเราอยากนำสิ่งเหล่านี้เข้ามาร่วมในโปรแกรมของบางกอก ซิตี้ซิตี้ นอกจากสิ่งเหล่านี้มันก็ยังมีสิ่งอื่นอีกที่เกิดขึ้นและดำเนินมาด้วยกัน เหมือนที่ลูกตาลบอกว่าเราอยากเพิ่มมันเข้าไปในโปรแกรมของแกลเลอรีเช่นกัน อย่างเช่น ศิลปะเมือง การให้ความรู้ การตีพิมพ์ หรืออย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง
สำหรับเรา เรารู้สึกว่าเราชอบภาพยนตร์มากแล้วก็ค่อยมาหลงใหลในวิธีการเล่าเรื่อง (storytelling) พอเวลาผ่านไปเราได้รับรู้ว่าการเล่าเรื่องมันขยายขอบเขตไปมากกว่าในภาพยนตร์ มันสามารถเป็นอะไรก็ได้
ระหว่างที่ทำงานแกลเลอรีมา มองเห็นความเป็นไปได้อะไรบ้างหรือคาดหวังที่จะเห็นอะไรมากขึ้น
อ๊อป : แกลเลอรีนี้สนใจเรื่องพื้นที่ที่มันเป็นจุดร่วมตรงกลางของกระแสหลักและกระแสรอง เราอยากให้แกลเลอรีมันอยู่ระหว่างสองกระแสนี้ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่นอกจากที่เราทำแกลเลอรี่ในเชิงพาณิชย์ด้วยแล้ว เราก็ยังอยากมองเห็นความเป็นไปได้ในพื้นที่ตรงนี้มากกว่านี้ เราอยากนำเสนอสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มันมีพื้นที่มากขึ้นผ่านการทำงานร่วมกันทางศิลปะ ระหว่างแกลเลอรีและผู้ทำงานร่วม อะไรประมาณนั้น
หลาย ๆ อย่างมันน่าจะมาจากสิ่งที่เรากับลูกตาลรู้สึกว่าขาดหายไปจากเมืองนี้ แล้วโปรเจกต์ที่เราทำร่วมกันต้องการมาเติมเต็มช่องว่างนั้นในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายนี้
ลูกตาล : นอกจากโปรแกรมแล้ว คิดว่าเหมือนเราได้เพื่อนหรือคอมมูนิตี้ที่มันค่อนข้างขยายออกด้วย คือถ้าเราไม่ได้ทำแกลเลอรี เราก็ไม่มีพื้นที่พอที่จะมีโอกาสได้เจอกับคนที่อาจจะคิดเหมือนเรา แล้วด้วยความที่โปรแกรมของที่แกลเลอรีมีความหลากหลายค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเลยมีคนที่เข้ามาจากหลาย ๆคอมมูนิตี้ที่มาอยู่ด้วยกัน
จนพอตอนเราเริ่มโตขึ้น คอมมูนิตี้นี้ไม่ได้ขยายแค่ในเชิงสาขาหรือแวดวงเฉพาะของมัน แต่ว่ามีเรื่องการเปลี่ยนผ่านของรุ่นเข้ามาด้วย ซึ่งน่าสนใจคือ คิดว่าจริง ๆ แล้วนอกจากโปรแกรมที่เราได้ทำ สิ่งที่เกิดขึ้น มันคือเพื่อนมั้ง เหมือนมีคนที่ยังมีความเชื่อหรือยังมีความต้องการอะไรในสิ่งที่มันใกล้ ๆ กัน ถ้าเกิดให้พูดเป็นแบบรูปธรรมมากขึ้น
อ๊อป : นอกเหนือจากนั้น เราคิดว่าอีกหนึ่งความฝันที่เรามีต่อพื้นที่นี้ ก็คือการได้ทำงานร่วมกับศิลปินและนักปฏิบัติงานหลากหลายแขนง ที่สามารถนำเสนอผลงานให้กับทั้งผู้ชมในประเทศและต่างประเทศได้ และพยายามผสมผสานวิธีคิดที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้ไว้ด้วยกัน
ทั้งสองคนมีหลักเกณฑ์อะไรในการเลือกศิลปินที่จะมาร่วมงานแบบนั้นไหม
ลูกตาล : คือเราชอบคนที่อยู่ตรงกลางมาก ๆ เลย อาจจะไม่ได้ตรงกลางแบบ in the middle นะ แต่คือแฉลบไปอันนี้ได้ แล้วก็มาอันนี้ได้ ระหว่างความป๊อบกับความอาจจะเฉพาะกลุ่ม (niche) หรือสิ่งที่คนกลุ่มเล็กสนใจกับคนกลุ่มใหญ่สนใจ
แต่ว่าศิลปินที่ทำงานไม่ได้มีการกำหนดประเภทด้วยซ้ำ ไม่ได้ต้องมีเป็นนักวาดนะ ต้องนักปั้นนะ มันแค่ใครวิ่งไปวิ่งมา แล้วรู้สึกว่ามันขับเคลื่อนเรา รู้สึกว่าเราอยากที่จะทำอะไรด้วยกัน เราก็ก้าวไปด้วยกัน เราก็พาสิ่งเหล่านี้ไปด้วยได้ แต่มันก็เป็นอะไรที่เล็ก ๆ นะ มันไม่ได้แบบใหญ่โตอะไร
อ๊อป : เราเห็นด้วยกับลูกตาลเลย นอกจากนั้น เราว่าคนที่เข้ามาดูงานของศิลปินแต่ละคนก็เข้ามาในช่วงเวลาที่ต่างกัน มันก็เลยกลายเป็นการผสมกันของผู้คนและประสบการณ์ทั้งหมด ซึ่งเราว่ามันคือหัวใจสำคัญของสิ่งที่เราทำเลยนะ และมันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราใช้ในการเลือกศิลปินที่จะทำงานด้วยเหมือนกัน
เราทำงานกับศิลปินแล้วก็ผู้ปฏิบัติงานในแขนงต่าง ๆ เยอะเหมือนกัน แล้วเราคิดว่า หนึ่งในเจตนาของเราก็คืออยากจะแบ่งปันมันกับสาธารณะ คือถ้าผู้ชมได้อะไรกลับไป หรือมุมมองของเขาเปลี่ยนไปไม่ว่าทางใดก็ตาม เราก็รู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น ในภาพรวมทั้งหมดเลย
3
การเดินทางใน ‘โปรเจกต์’ ตลอดสิบปี

คำว่า “transformation” สำหรับทั้งสองคนคืออะไร
อ๊อป : พอเราทำโปรเจกต์นี้มา 10 ปี และตอนนี้ที่ครบสิบปี ทั้งจากงานนี้ แล้วก็จากอะไรหลาย ๆ อย่าง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเมือง เราเลยเหมือนกำลังย้อนกลับมาดูว่า ยังมีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ หรือยังขาดไปบ้าง แล้วก็มีอะไรอีกที่เราสามารถเสนอหรือผลักดันในโลกของวัฒนธรรมในกรุงเทพฯ หรือในบริบทที่กว้างกว่านั้นได้บ้าง
ลูกตาล : ถ้าถามเรื่อง Transformation คิดว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่าน และมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างตลอดเวลา อย่างที่บอก ทุกอย่างที่มันเคลื่อนตัว มันค่อนข้างก่อตัวเรา ให้เราก่อร่างพื้นที่ ให้มันปรับสภาพ คิดว่าจริง ๆ แล้ว มันแค่การปรับสภาพให้มันอยู่ในสภาพที่เราเชื่อว่ามันควรที่จะเป็น คือเราไม่ได้หมายความว่าเราทำได้ดีทั้งหมด แต่หมายถึงว่า อย่างน้อยที่สุด เรารู้สึกว่ามันคือธรรมชาติของสิ่งที่มันต้องเกิดขึ้น การเปลี่ยนผ่านความรู้สึก การก่อร่างโปรเจคต์หรืออะไรก็ตาม
ทำไมถึงเรียกบางกอก ซิตี้ซิตี้ว่า 'โปรเจกต์'
ลูกตาล : เพราะเรามองเป็นโปรเจคต์จริง ๆ คือโปรเจคต์แกลเลอรีเป็นโปรเจคต์ 10 ปีของเรา เพียงแต่ว่ามันเป็นโปรเจคต์ที่มันต้องสร้างสถานที่ขึ้นมาเพื่อที่จะจัดการ คือจริง ๆ เราอาจจะไม่ต้องสร้างอันนี้ขึ้นมาก็ได้ แต่หลังจากประสบการณ์ก่อนหน้ามันเล่าให้เราฟังว่า ถ้าเราไม่มีพื้นที่ของเราเอง เราจะไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในพื้นที่ สมมติเรามีพื้นที่ 200 ตารางเมตร ที่เราสามารถมีส่วนร่วมสร้างสู่อะไรสักอย่างที่เราเชื่อโดยที่เรายังมีสิทธิหรืออิสรภาพในการตัดสินใจได้อยู่ นั่นคือภาพฝันของโปรเจคต์ของเรา แต่ว่ามันออกมาอยู่ในรูปแบบของอาร์ตแกลเลอรี
ซึ่งตอนแรกมันไม่ได้จะเป็นแกลเลอรีเชิงพาณิชย์ด้วยซ้ำ คือมันต้องการที่จะเป็นเหมือนพื้นที่ศิลปะ เราไม่ได้มีความคิดเรื่องการขาย แต่ว่าเราไม่รู้จะหาเงินยังไงมาทำให้ความฝัน 10 ปีของเรา มันประสบสำเร็จได้ เราก็เลยกลับไปนั่งดูว่าโมเดลอะไรบ้างที่มันยังเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราทำอยู่ ซึ่งมันก็คือโมเดลของการทำธุรกิจในโลกศิลปะ ในตลาดศิลปะ
แต่พอหลังจากเราลงไปในตลาดศิลปะ เราก็รู้ว่าจริง ๆ มันมีอะไรที่เราชอบ แล้วก็มีอะไรที่เราอาจจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจด้วยเท่าไหร่ เราก็ต้องมาปรับตามสิ่งที่เรารู้สึกสบายใจด้วยมากกว่า
อ๊อป : ใช่ บางทีที่เราเรียกมันว่าโปรเจกต์เพราะว่าเราไม่แตะเรื่องธุรกิจมาก่อน มันค่อนข้างเหมือนความฝัน มันเหมือนการทดลองเราเลยเรียกมันว่าโปรเจกต์เพราะแบบนั้น เราคิดว่าเรื่องธุรกิจมันค่อนข้างขึ้นอยู่กับช่วงเวลาหรือระยะเวลามั้ง
เจอความท้าทายอะไรในการจัดการตามกรอบของแกลเลอรีเชิงพาณิชย์บ้าง
ลูกตาล : เราก็ไม่ได้มองเรื่องธุรกิจหรือตลาดเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยนะ คือหมายความว่าจริง ๆ แล้วมันก็มีระบบระเบียบอะไรของมันอยู่ แต่ถามด้วยความที่แบบเราอาจจะไม่ได้มาจากพื้นเพที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว บางทีเราก็อยากลองดูด้วยว่ามันเวิร์คหรือมันไม่เวิร์ค คือระหว่างทางเราก็พยายามที่จะทดลองไปด้วย
พูดถึงตลาดศิลปะหรือแกลเลอรีเชิงพาณิชย์ในสเกลที่เป็นพื้นฐานของแกลเลอรีในโลก คือเรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมันยังไม่มีที่นี่ขนาดนั้น ที่เราจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง สมมติว่าถ้าเกิดเราไปอยู่ในยุโรปหรือเราไปลอนดอน เราจะรู้สึกว่ามันมีโครงสร้างภายใน มันมีของทุกอย่าง มันมีคนเหมือนกัน มันมีตัวอย่างให้ศึกษา มันมีคนปูทางให้เราไปแล้ว คือระบบภาษี ระบบการจัดการทุนจากนู่นนี่ คนซื้ออะไรนี้
แต่ตอนนี้เหมือนกับเราต้องกึ่ง ๆ มาเริ่มใหม่ มาลองดูใหม่ ว่าโอเค พอเรากลับไปศึกษาในอดีตแล้วมันไม่เวิร์คเพราะว่าอะไร เหมือนศึกษาประวัติศาสตร์ของมันก่อนที่เราจะเปิด
อ๊อป : แต่เราคิดว่าเวลาเริ่มต้นลองอะไรใหม่ มันต้องเกิดความท้าทายอยู่แล้ว เราก็แค่รับมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของเรา แล้วก็หาหนทางที่จะทำให้มันอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ
4
สำรวจตัวตนและแนวคิดผ่านนิทรรศการครบรอบสิบปี
“นอกจากการที่มันจะพาตัวของมันเองมาแล้ว มันเหมือนมันพาอดีตของมันกลับมาหาเราด้วย”
ลูกตาลกล่าวหลังจากพูดถึง นิทรรศการ A Solo Project โดย ปรัชญา พิณทอง ที่จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 10 ปี ของ บางกอก ซิตี้ซิตี้ ซึ่งจะเปิดแสดงในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 กระบวนการเกิดขึ้นจากการที่ปรัชญา เสนอให้นำองค์ประกอบของพื้นที่แกลเลอรีอย่างประตูหรือกระจกออกมาจากจุดเดิมที่เคยคงอยู่ การรื้อถอนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการรื้อสร้างความหมายใหม่ให้กับพื้นที่แกลเลอรีไปพร้อมกัน นอกจากนี้กระบวนการดังกล่าวไม่เพียงกระตุ้นให้เกิดคำถามจากผู้เข้าชมเพียงเท่านั้น หากยังซ่อนสัญญะไว้ให้ผู้ก่อตั้งบางกอก ซิตี้ซิตี้ หันกลับมาตั้งคำถามและสะท้อนถึงแนวคิดการทำงานแกลเลอรีในอดีตและการทำความเข้าใจศิลปะของพวกเขาที่เคยเชื่อมา หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามกับโปรเจคในอนาคต
ระหว่างกระบวนการจัดแสดงนิทรรศการสำหรับครบรอบสิบปี ทั้งสองคนมีโอกาสทบทวนสิ่งที่ทำมาทั้งหมดไปด้วยไหม
ลูกตาล : คิดว่ามันเป็น conversation ที่ค่อนข้างเรียบง่ายมาก ๆ เลย มันไม่ได้เป็นการพยายามที่จะมานั่งคิดทบทวนกันอย่างจริงจังว่าถ้าเกิดสมมติในโอกาสครบรอบ 10 ปีของเรา เราจะทำอะไร เราก็แค่คุยกันว่าเราถ้าพี่โต๊ะมาทำการจัดแสดงผลงาน 10 ปีให้เราก็ดีนะ ซึ่งเป็นไปได้แน่นอนที่เขาจะปฏิเสธ
แล้วเราก็แค่หันมามองหน้ากันว่า โอเค ไอเดียนี้ดี ก็เลยชวนตัวศิลปินคือ พี่โต๊ะ ปรัชญาพิณทอง มาทำการแสดงผลงานด้วยกัน แล้วเราก็อธิบายให้เขาฟังว่า มันจะเป็นโชว์ครบรอบ 10 ปีของเรา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตกปากรับคำอะไร
เขาหายไปแบบ 2-3 เดือน และกลับมาพร้อมกับไอเดียที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ โดยที่ก่อนที่จะอธิบายข้อเสนอหรือไอเดียที่เขาจะทำ เขาแค่บอกว่าลูกตาลกับอ๊อปไม่ทำก็ได้นะ พี่ก็ไม่ทำเหมือนกัน คือมันไม่ได้มีตัวเลือกหนึ่งสอง (หัวเราะ)
อ๊อป : เรารู้สึกดีใจมากที่ได้เชิญ ปรัชญา มาทำเพราะเราคิดว่าเขาทำให้เราต้องกลับมาทบทวนหรือมองเห็นความเป็นไปได้สำหรับอนาคตผ่านนิทรรศการนั้น เหมือนเป็นการเปิดมุมมองใหม่ให้กับเรา ว่าเราจะออกแบบอนาคตของแกลเลอรี่ในอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างไร
ซึ่งเราก็คิดว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราอยากจะทำอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในช่วงอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เราก็จะพยายามผลักดันสิ่งที่เราอยากทำผ่านนิทรรศการ หรืออาจจะรวมถึงโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
ลูกตาล : วันก่อนที่เดินอยู่ตรงที่ติดตั้งก็บอกว่า เออ มันก็เป็นงานที่ดีมาก ๆ เหมือนกันนะ ตอนที่เรายืนอยู่กับมัน ณ ตอนที่มันเสร็จแล้วประมาณนึง
แต่ว่าก่อนหน้านี้มันคือการที่จะได้มาซึ่งการจะถอดประตูหรือกระจกหรืออะไรทั้งหลาย ส่วนตัว เราคิดว่ามันน่าสนใจตรงที่เราได้กลับไปค้นเอกสารเก่า ๆ บางทีกระจกมันวางอยู่ของมันอย่างนั้น มันก็ยังไม่ได้แตกอะไร หน้าบาน ด้านหน้า แต่ว่าพอถามคำถามว่า แล้วมันไซส์เท่าไหร่? มันทำด้วยวัสดุอะไร? มันมาตัดได้ไหม ? เราเลยต้องไปค้นเอาเอกสารเก่า ซึ่งสมัยนั้นมันก็ไม่ได้เป็นดิจิตัลไฟล์ ซึ่งเราชอบเก็บของพวกนั้นอยู่แล้วเลยต้องกลับไปอ่าน เสร็จแล้วเราก็ต้องติดต่อไปยังคนเริ่มก่อสร้างมัน
นอกจากการที่มันจะพาตัวของมันเองมาแล้ว มันเหมือนมันพาอดีตของมันกลับมาหาเราด้วย พาคนที่เราเคยทำงานด้วย ซึ่งก็แน่นอนคืออย่างสมมติว่าพี่ที่ติดตั้งกระจกก็อาจจะไม่ได้เป็นคนที่มาดูการแสดงผลงานเราหรอก แต่ว่าเขากลับมาอีกทีเขาก็บอกว่า “โห นี่ยังจำได้อยู่นะเนี่ยว่าเอาอันนี้แบกเข้ามา”
เรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วตรงนั้นคือสิ่งที่พี่โต๊ะให้กับเรา เขามีกระบวนการที่ทำให้เราต้องกลับไปจัดการกับอีกหลายอย่างมากเลยในอดีต อย่างเช่นการที่เราจะต้องโยกเอาทั้งห้องสมุดออกมา มันก็เป็นส่วนหนึ่ง คือจริงๆแล้วตัว BOOKSHOP LIBRARY ที่เป็นโปรเจกต์เอง ไม่ได้คิดว่าจะต้องเอามันออกหรืออะไรเลย มันอยู่ของมันอย่างนั้น มันทำหน้าที่ของมันอย่างดี แต่เสร็จแล้วคราวนี้มันเป็นความคิดที่ว่า ถ้าเกิดสมมติพี่โต๊ะจะขอให้เรารื้อห้องทั้งหมดซึ่งเราตกลงแล้ว ไม่มีปัญหาหรอกการที่จะย้ายของออก แต่เสร็จแล้วมันจะยังไง เพราะฉะนั้นเราต้องเอาของออกจากในห้องนั้น ที่มีของเยอะมาก เราเลยต้องมานั่งคุยกัน พอมานั่งคิดทบทวนดูจริง ๆ คือเราจะเอากระจกออกแล้วเราจะเอามันกลับมาใส่แล้ว เราจะทำเหมือนกับที่เราทำแบบเดิม หรอ? มันก็เลยกลายเป็นคำถาม
เหมือนหลังจากจบงานปรัชญาเราก็จะเอาชั้นหนังสือกลับมาวาง ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม ก็ดูเหมือนงานนั้นไม่ได้ทำงานกับเราเรารู้สึกว่าจริง ๆ เราควรจะลองคิดอะไรแบบใหม่ดูด้วยบ้าง หรือจริง ๆ มันอาจจะไม่ได้คิดคำถามนั้นด้วยซ้ำ มันแค่แบบ “เห้ย ไม่ได้นะ มันต้องคิดอะไรนิดนึงหรือเปล่า”
5
อนาคตอันใกล้ ..ไกล
พื้นที่ของบางกอก ซิตี้ซิตี้ แกลเลอรีประกอบด้วยพื้นที่สองพื้นที่ คือ หนึ่ง–BOOKSHOP LIBRARYสอง–ห้องสี่เหลี่ยมสำหรับจัดแสดงงาน ทั้งสองพื้นที่ได้สร้างประสบการณ์ร่วมของผู้ใช้พื้นที่ ความสัมพันธ์ของผู้คนและพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตร ทำให้บางกอก ซิตี้ซิตี้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนและความทรงจำของผู้คนไปพร้อมกัน
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา BOOKSHOP LIBRARY ได้ประกาศปิดพื้นที่อย่างถาวร

เรื่องราวของบุ๊คช็อป ไลบรารี่จะเป็นอย่างไรต่อไป
ลูกตาล : ตอนที่เราบอกว่าจะปิดบุ๊คช็อปหลังจากจบการแสดงผลงาน เรามีความคิดว่าถ้าเรากลับมาเป็นบุ๊คช็อปเหมือนเดิม หรือหน้าตาของมันเปลี่ยน หรือเราอาจจะไม่ได้กลับมา เราอยากบอกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมในฐานะที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ตรงนั้น แน่นอนตัวพื้นที่คือส่วนหนึ่ง และ แพรว กานต์ธิดา บุษบา ผู้ดูแลตัวโปรเจกต์บุ๊คช็อปก็สำคัญมากเช่นกัน เพราะแพรวคอยทำหน้าที่ผู้ดูแลพื้นที่หรือโฮสต์ได้ดีมาก และทำให้พื้นที่ตรงนี้ไม่ดูเงียบเหงาจนเกินไป แต่เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ยังดำเนินต่อไปได้
อ๊อป : โปรเจกต์บุ๊คช็อป ไลบรารี่ ที่เป็นพื้นที่แบบ physical จบไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี่เอง แต่เราเชื่อในเรื่องของการทำสิ่งพิมพ์อยู่แล้ว ในอนาคตมันอาจจะกลับมาในรูปแบบอื่น หรือโผล่ขึ้นมาในที่อื่นก็ได้ แค่ตอนนี้มันยังไม่ได้อยู่ในส่วนหน้าของแกลเลอรีเฉย ๆ แต่ถ้าเราคิดออกหรือวางแผนได้ว่าโปรเจกต์ด้านสิ่งพิมพ์จะไปทางไหนต่อ เราก็จะแจ้งให้ทุกคนรู้แน่นอน

ต่อจากนี้ในอนาคต ทั้งสองคนมีสิ่งที่อยากทำหรือความฝันที่อยากพัฒนาต่อไหม
อ๊อป : โดยพื้นฐานแล้ว พอองค์ประกอบต่าง ๆ มันกลับไปอยู่ในที่ของมัน เราก็เหมือนมีพื้นที่ให้ฝันต่อว่าเราจะทำอะไรต่อไป และเราคงจะไม่ทำมันเหมือนที่เคยทำอีกแล้ว เรารู้สึกว่าเราสนใจงานภาพเคลื่อนไหว สนใจการแสดงสด สนใจเสียง แล้วก็เรื่องขนาดกับสถานที่ด้วยเหมือนกัน
เราเลยกำลังสำรวจสิ่งเหล่านี้สำหรับช่วงปีข้างหน้า เราว่าช่วงเวลานี้มันสำคัญและมีความหมายสำหรับเราเพราะมันนับเป็นอีกหนึ่งช่วงชีวิตของการได้ทำอะไรด้วยกัน แล้วก็ได้สำรวจไปด้วยกันว่าต่อไปมันจะสามารถเป็นอะไรได้บ้าง มันไม่ใช่แค่ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แต่เรารู้สึกว่าเวลาที่มีคนหลายคนมาร่วมทำบางอย่างด้วยกัน มีประสบการณ์ร่วมกัน ช่วงเวลาเหล่านั้นมันคงอยู่ในความทรงจำของเราได้นานจริง ๆ
ลูกตาล : หลังจากผลิตการจัดแสดงผลงานออกมา 10 ปี เรารู้สึกว่าตอนนี้อยากจะผลิตของที่จับต้องไม่ได้มากขึ้น อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วมันหายไป เพราะว่าถ้าเกิดพูดแบบในเชิงปฏิบัติเลย ทำแกลเลอรีหรือทำมิวเซียมหรือทำพื้นที่ศิลปะอะไรก็ตาม มันจะต้องมีพื้นที่ในการเก็บคลังข้อมูล แล้วลองคิดดูคลังข้อมูลของเรามันคือคลังข้อมูลของทุกเวลา 10 ปี มันเยอะไปหมดเลย
เราก็เริ่มรู้สึกว่า เราจะลงมือทำสิ่งนี้ต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือเปล่า ? หรือจะค่อย ๆ ปลดสัมภาระบางอย่างออก หรือว่าเราจะเลือกวิธีการในการจัดการกับสัมภาระนี้ใหม่ ? มันเหมือนกับโจทย์ ซึ่งจริง ๆ มันก็สนุกดีที่ศิลปินเป็นคนทิ้งโจทย์กลับมาให้กับเราเองด้วย
เพราะถ้าเกิดสมมติว่างาน 10 ปีเป็นการรวมศิลปินแกลเลอรีทั้งหมด ก็อาจจะเป็นความคิดอีกความคิดหนึ่ง แบบครอบครัว คอมมูนิตี้ เช่น เราจะไปข้างหน้ากันต่อ ?
แต่อันนี้มันคือการรื้อของ รื้อสร้างใหม่ แล้วมันก็ตรงกันด้วยกับการที่เราเรียกว่า ‘โปรเจกต์’ คือ แล้วคุณจะทำโปรเจกต์นี้ต่อแบบไหนเพราะในเมื่อคุณบอกว่าโปรเจคนี้ของคุณจบที่ 10 ปี ?
