เสียงที่ไม่แบ่งชาติ: ความปฏิวัติทางดนตรีของ 'บรูซ แกสตัน'
“ดนตรีคือมนุษยธรรม ไม่ใช่ทรัพย์สินของชาติใดชาติหนึ่ง” นี่คือแนวคิดของบรูซ แกสตัน ศิลปินชาวอเมริกันผู้บุกวงการดนตรีไทย ได้นำดนตรีไทยเดิมมาดัดแปลงใหม่ อย่างเพลงกระต่ายเต้น, ลิงกับเสือ, เชิดจีน-เชิดพม่า
แม้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบชาวต่างชาติซึ่งหลงใหลในเสน่ห์วัฒนธรรมไทยจนเลือกย้ายถิ่นฐานมาอาศัยในประเทศนี้ อย่างกอร์ราโด เฟโรชี หรืออาจารย์ศิลป์ พีระศรี ปูชณียบุคคลผู้สร้างคุณูปการแก่วงการศิลปะไทยร่วมสมัย ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร
แต่ถ้าหากพูดถึงในด้านของดนตรีคงไม่พ้น “บรูซ แกสตัน” ผู้ที่ไม่ใช่เพียงนักดนตรี หากคือผู้บุกเบิก “วงการดนตรีไทยร่วมสมัย” แม้ไม่ได้กำเนิดบนผืนแผ่นดินไทย แต่กลับทิ้งร่องรอยทางความคิดและศิลปะไว้อย่างลึกซึ้งของวงการดนตรีไทย ในยุคที่เครื่องดนตรีถูกกักขังอยู่ในกรอบอนุรักษ์นิยม ถูกปลุกขึ้นด้วยสายตาอันกว้างไกล และหัวใจที่เชื่อในพลังดนตรี
%20(2)-2.jpg)
จากดินแดนอเมริกา สู่ผืนดินสยาม
บรูซ แกสตัน เกิดในปี 1946 (1947) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมากับดนตรีคลาสสิกตะวันตก และจบการศึกษาด้านทฤษฎีคีตศิลป์ เขาเลือกเดินทางสู่ประเทศไทยระหว่างยุคสงครามเวียดนาม ในฐานะผู้คัดค้านสงครามด้วยมโนธรรม
เขาได้จัดตั้งโครงการศึกษาดนตรีที่วิทยาลัยพายัพ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงปี่พาทย์บรรเลงเป็นครั้งแรก และหลงรักในเสียงดนตรีไทย นั่นไม่ใช่แค่การฟังดนตรีต่างวัฒนธรรม หากแต่เป็นการค้นพบความจริงใหม่ของเสียงดนตรีที่ไม่ต้องยึดติดกับภาษาหรือสัญชาติ
โดยเขาตัดสินใจปักหลักอยู่ที่ประเทศไทยศึกษาดนตรีไทยอย่างจริงจัง กับครูบุญยงค์ เกตุคง ปรมาจารย์ระนาดเอก จนเข้าใจระบบทำนองไทย และมิติทางจิตวิญญาณของดนตรีแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ฟองน้ำ” ที่ซึมซับเสียงดนตรี
ช่วงระหว่างปี 1977-1987 ดนตรีไทยได้อยู่บนความตึงเครียดระหว่าง
‘อนุรักษ์นิยม’ และ ‘ดนตรีร่วมสมัย’ และในปี 1981 บรูซได้ก่อตั้งวงดนตรีร่วมกับบุญยงค์ เกตุคง ซึ่งเป็นวงที่ทดลองนำดนตรีไทยคลาสสิกมาผสมผสานกับองค์ประกอบของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ตะวันตกอย่างลงตัว
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการระเบิดกรอบความคิดด้านดนตรีไทยครั้งสำคัญ เพราะฟองน้ำไม่ได้ผสมดนตรีตะวันตกแบบผิวเผิน แต่ลักษณะดนตรีมีการผสานที่หลากหลาย อย่างการผสมเสียงระนาด ฆ้อง ซอ กับเปียโน และเครื่องดนตรีสังเคราะห์เสียงสมัยใหม่
“ดนตรีไทยมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือเมื่อเราเข้าใจหลักแล้ว ผู้บรรเลงแต่ละท่านมีสิทธิ์ที่จะใช้ความคิดของตัวเองแต่งเข้าไปประกอบด้วย เพราะฉะนั้นเรามีลูกเล่นพิเศษ ซึ่งการทำให้คนแปลกใจทำให้ผู้คนสนุกขึ้น”

อิทธิพลของบรูซไม่ได้จำกัดอยู่ในวงการดนตรี แต่ยังแผ่ไปสู่บริบทวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย เขาท้าทายความคิดอนุรักษ์นิยมที่พยายามตรึงดนตรีไทยในรูปแบบเดิม และเชื่อว่าการอนุรักษ์ไม่ใช่การหยุดพัฒนา แต่อยู่ที่การ “ทำให้ยังมีชีวิต”
เขาย้ำเสมอว่า
นี่คือมุมมองที่ทำให้เขาถูกยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกความคิดหลังยุคอาณานิคมทางดนตรีไทย อีกทั้งเขายังทลายกำแพงแบ่ง “ไทย-ฝรั่ง” และเสนอว่าอัตลักษณ์ทางดนตรีจากการแลกเปลี่ยน ไม่ใช่กำแพงกีดกัน
ดนตรีของบรูซจึงเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของ “ราก” ที่ไม่หยุดนิ่ง เขามองการอนุรักษ์ไม่ใช่แค่การแช่แข็งมรดกทางดนตรี หากคือการให้ชีวิตและบทสนทนาใหม่กับอดีต เขาพิสูจน์ด้วยผลงานว่า ความร่วมสมัยไม่ได้แปลว่าสูญเสียอัตลักษณ์ หากคือการทำให้อัตลักษณ์มีชีวิตอยู่ต่อไป
-2.jpg)
แม้ว่าบรูซจะจากโลกนี้ไปในปี 2021 กว่า 4 ปีผ่านมา แต่มรดกทางความรู้ ความคิด และผลงานของยังคงตั้งคำถามต่อผู้คนในวงการดนตรีถึงปัจจุบัน ดนตรีไทยจะเดินหน้าไปอย่างไรในโลกที่พรมแดนทางวัฒนธรรมหายไป เสียงที่เปล่งว่า “ของเรา” ยังจำเป็นต้องถูกกีดกันจาก “ของเขา” อีกหรือไม่
และที่สำคัญที่สุด เราพร้อมหรือยังที่จะฟังด้วยกันหัวใจมากกว่ากรอบที่คุ้นชิน
“เพราะบรูซ แกสตันไม่ได้ทำให้ดนตรีไทยเปลี่ยนไป แต่เขาทำให้ดนตรีไทยกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง”
-2.jpg)