Menu.Menu.
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
story
Worayudh Pornprasert
photographer
published
12.4.24
days-since-publication
Thai
English
View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

วิวัฒนาการของดนตรีรถแห่ กับความโจ๊ะๆ 3 ช่า Remix

ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่าง สงกรานต์, ลอยกระทง, ปีใหม่ หรือแม้แต่ในงานเลี้ยงสังสรรค์บ้าน ๆ อย่าง งานบวช, งานแต่ง, งานขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ เราก็มักจะได้ยินเพลงจังหวะ ‘3 ช่า’ หรือเพลง ‘โจ๊ะๆ’ รวมถึงเพลงประเภท ‘รีมิกซ์’ (Remix) ที่ดัดแปลงเพลงแนวอื่นให้เป็นเพลงจังหวะ 3 ช่า เปิดสร้างความสนุกสนานกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ นอกจากนี้ยังมีการใช้ ‘รถแห่’ ติดเครื่องเสียงเปิดเพลง 3 ช่าเพิ่มดีกรีความมันส์ในการแดนซ์ของสายย่อทั้งหลาย  ภาพและบรรยากาศแบบนี้อยู่คู่กับคนไทยมานานจนหลายคนก็ตอบไม่ได้ว่าเพลงจังหวะ 3 ช่า เพลงรีมิกซ์ และดนตรีรถแห่เริ่มได้รับความนิยมในบ้านเราตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบด้วยกัน x

ต้นกำเนิดเพลงจังวะ ‘3 ช่า’ 

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเพลงจังหวะ ‘3 ช่า’ นั้น ไม่ได้มีต้นกำเนิดที่ประเทศไทย แต่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศคิวบา ช่วงยุคสงครามเย็น เมื่อปี ค.ศ.1950 โดยสากลแล้วเขาจะเรียกเพลงแนวนี้ว่า ‘ช่าช่าช่า’ (Cha Cha Cha) เชื่อกันว่าได้รับการพัฒนามาจากดนตรีแนว ‘แมมโบ้’ (MAMBO) ที่ใช้ประกอบการเต้นลีลาศ ซึ่งได้รับความนิยมในแถบท้องถิ่น ลาติน อเมริกา มาช้านาน โดยเพลงจังหวะ 3 ช่าค่อย ๆ แพร่เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรปจนกลายเป็นหนึ่งในแนวเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุค 1960’s ถึงขนาดที่ว่านักวิชาการบางคนเชื่อว่าเพลงแนว 3 ช่านี้คือต้นกำเนิดของเพลงและดนตรีแนว ‘ฮิปฮอป’ (Hip Hop) ก่อนจะพัฒนามาเป็นเพลง ‘แร็ป’ (Rap) ในที่สุด

เพลงจังหวะ 3 ช่าของไทยยุคแรก 

สำหรับประเทศไทย เชื่อกันว่าเรารู้จักเพลงจังหวะ 3 ช่าครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1955 โดยมีวงดนตรีฟิลิปปินส์ ชื่อ ‘ซีซ่า วาเลสโก’ (Cesar Velasco) เป็นผู้นำมาเผยแพร่ ด้วยความที่ดนตรีจังหวะ 3 ช่ามีเอกลักษณ์ดนตรีที่แสดงออกถึงความสนุกสนาน มีจังหวะที่เร้าใจ ชวนให้คนฟังอยากลุกขึ้นขยับแข้งขยับขา เข้ากับลักษณะนิสัยของคนไทยที่ชอบความรื่นเริง อีกทั้ง คนไทยเราก็มีรากวัฒนธรรมทางด้านดนตรีที่มีท่วงทำนองสนุกสนาน ครื้นเครง เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะเห็นได้จากเพลง ‘รำวงมาตรฐาน’ และ ‘เพลงฉ่อย’ ของภาคกลาง หรือ ‘หมอลำ’ ของภาคอีสาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เพลงจังหวะ 3 ช่า ได้รับความนิยมจากคนไทยอย่างรวดเร็ว มีการนำเพลง ‘ไทยเดิม’ มาดัดแปลงใส่ดนตรีจังหวะ 3 ช่า เพื่อใช้เป็นเพลงเต้นรำ เช่น  ‘เพลงลาวดำเนินทราย’ และ ‘เพลงลาวสมเด็จ’ ของวงศรีกรุง ในปี ค.ศ.1957

นอกจากการดัดแปลงแล้ว ไทยเราก็ยังมีการแต่งเพลงไทยสากลในจังหวะ 3 ช่า ขึ้นมาใหม่ แต่เร่งจังหวะให้เร็วขึ้นกว่าเพลง 3 ช่าของฝั่ง ลาติน อเมริกา เพื่อเพิ่มความสนุกสนานและเพื่อให้เหมาะกับการเฉลิมฉลองช่วงเทศกาล เช่น เพลงสุขกันเถอะเรา, เพลินเพลงแมมโบ้, ช่าช่าช่าพาเพลิน, เริงลีลาศ ของวงสุนทราภรณ์ วงดนตรีโปรดที่คุ้นหูของคนไทยรุ่น Baby Boomer และหลังจากนั้นเรื่อยมา เพลง 3 ช่าก็ได้กลายเป็นอีกแขนงหนึ่งของเพลงไทยที่นิยมเล่นในงานรื่นเริงช่วงเทศกาลประจำปี และงานเลี้ยงสังสรรค์ของคนไทยที่พบเห็นได้ทั่วไป 

เพลงจังหวะ 3 ช่าของไทยยุคปัจจุบัน 

เพลงจังหวะ 3 ช่าของไทยถูกพัฒนาแบบก้าวกระโดดช่วงยุค 1990’s ถึง 2000’s ค่ายเพลงหลายค่ายมีการแข่งขันทำเพลงจังหวะ 3 ช่า สไตล์ ‘ยูโรแดนซ์’ ที่เหมาะกับการเปิดในผับหรือดิสโก้เทค รวมถึงมีการนำเพลงไทยสารพัดแนวไป ‘รีมิกซ์’ (Remix) ให้มีจังหวะโจ๊ะ ๆ เหมาะกับการเต้น เช่น เพลงลูกทุ่งคลาสสิกอย่าง ‘รักจางที่บางปะกง’ ของ ‘สดใส รุ่งโพธิ์ทอง’ หรือเพลงฮิตของวัยรุ่นยุคนั้นอย่าง ‘ที่หนึ่งไม่ไหว’ ของวง ไอน้ำ ก็ถูกนำมารีมิกซ์ใหม่โดย ‘นายครรชิต’ กับ ‘ทิดแหลม’ กลายเป็นเพลง ‘ตีหนึ่งไม่ไหว’  ให้วัยรุ่นขาโจ๋ได้โยกกันจนถึงเช้า

‍

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตทั้งเร็วและแรง เข้าถึงได้ง่าย ๆ ได้จากทุกมุมโลกอย่างทุกวันนี้ ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถทำเพลงได้ แถมยังสามารถเผยแพร่ผลงานผ่านโซเชียลมีเดียได้ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ผู้คนที่รักในเสียงเพลงไม่ต้องง้อค่ายเพลงใหญ่ ๆ อีกต่อไปแล้ว ทำให้มีเพลง 3 ช่าจังหวะโจ๊ะ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง หลายเพลงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ อย่างเช่น เพลง ‘ชอบเธออะ’ ของ ‘Sakarin’ หรือเพลง ‘มองนาน ๆ’ ของวง ‘Vitamin A’ ที่หลายคนคงคุ้นหูจาก TIKTOK ต่างก็เคยเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกมาแล้ว 

‍

นอกจากนี้ บรรดาเพลงฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยหรือเพลงต่างประเทศก็มักถูกนำไปรีมิกซ์เป็นเพลง 3 ช่าที่มีจังหวะตื๊ด ๆ โจ๊ะ ๆ ให้สายแดนซ์สายย่อทั้งหลายนำไปเต้นได้แบบสุดเหวี่ยงเช่นกัน มีหลายเพลงที่ยังคงเป็นไวรัลในโลกโซเชียลมาจนถึงตอนนี้ เช่น เพลงจากราชาเพลงลูกกรุงในตำนานอย่าง ‘เป็นโสดทำไม’ ของ ‘สุรพล สมบัติเจริญ’ ที่ถูกดัดแปลงเป็นเวอร์ชันรีมิกซ์ 3 ช่าจนฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ไปงานบวช หรือ เล่นน้ำสงกรานต์ก็ต้องได้ยิน หรือกระทั่งเพลงเพื่อชีวิตที่หลายคนฟังแล้วถึงกับขนลุกอย่างเพลง ‘ผู้ปิดทองหลังพระ’ ของน้า ‘แอ๊ด คาราบาว’ ก็ถูกนำไปดัดแปลงเป็นเวอร์ชันรีมิกซ์ 3 ช่า โดย ‘TRAP COMBO TEAM’ ด้วยเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าคนไทยเป็นคนรักความสนุกสนานมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเพลงสากล ลูกทุ่ง ลูกกรุง หรือแม้แต่เพลงชาติ ขอเพียงเร่งจังหวะแล้วแปะข้อความว่า ‘รีมิกซ์’ เข้าไปก็เป็นที่เข้าใจกันว่า นี่คือเพลงจังหวะ 3 ช่า โจ๊ะ ๆ ที่พร้อมจะสร้างรอยยิ้ม และความสนุกหลังจากที่ได้ฟังในทันที ยิ่งเมื่อนำไปรวมกับวงดนตรีสไตล์ ‘รถแห่’ แบบอีสานด้วยแล้วละก็ เราก็จะได้เวทีแดนซ์เคลื่อนที่ที่สามารถเคลื่อยย้ายไปสร้างสีสันและความสนุกสนานได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมื่อถึงช่วงเทศกาลประจำปีอย่าง สงกรานต์, ลอยกระทง, ปีใหม่ ฯลฯ เรามักจะเห็นกองทัพรถแห่ตระเวนเปิดเพลงให้สายย่อ สายแดนซ์ได้มันกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ 

ถึงตรงนี้เราคงพูดได้เต็มปากว่า จังหวะ 3 ช่า เป็นแนวเพลงที่อยู่คู่กับคนไทยมาไม่ต่ำกว่า 60-70 ปี และหากจะบอกว่า เพลง 3 ช่าและเพลงรีมิกซ์สายย่อของไทยถือเป็นหนึ่งใน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) ที่โดดเด่นของไทยก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงนัก 

รถแห่ 3 ช่า: มหรสพเคลื่อนที่ยุคใหม่ของชาวอีสาน 

เมื่อพูดถึงเพลงจังหวะ 3 ช่า เพลงโจ๊ะ ๆ แล้วจะไม่พูดถึง ‘รถแห่’ ก็คงเหมือนขาดอะไรไป เพราะยุคนี้เพลง 3 ช่ากับรถแห่แทบจะเป็นของคู่กัน มีรถแห่ที่ไหนต้องมีเพลง 3 ช่าที่นั่น ซึ่งวัฒนธรรมรถแห่นี้เป็นมหรสพที่มีมานานแล้วในภาคอีสาน เพียงแต่ในอดีตชาวอีสานเพียงแค่นำเครื่องดนตรีพื้นบ้านไปตั้งเล่นตามงานสังสรรค์ต่าง ๆ พอเสร็จงานก็ยกเครื่องดนตรีขึ้นรถกลับ ต่อมาจึงพัฒนากลุ่มนักดนตรีกลองยาว หรือคณะหมอลำที่สามารถใส่นักดนตรี เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ในรถกระบะ รถบรรทุก เพื่อเวลาเดินทางไปแสดงตามงานสังสรรค์ต่าง ๆ เช่น งานบวช, งานแต่ง ไปจนถึงงานเทศกาล งานบุญบั้งไฟ, ปีใหม่ และสงกรานต์ งานใหญ่ประจำปีของสังคมบ้านเราเสมอมา แล้วเมื่อทำงานเสร็จก็สามารถขับรถกลับ หรือไปแสดงต่องานอื่นได้เลย จนกระทั่งพัฒนามาเป็น ‘รถแห่’ สมัยใหม่ที่บนรถจะมีทั้งเครื่องเสียงและเครื่องดนตรีครบครัน ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับเพลงแดนซ์ตื๊ด ๆ จังหวะ 3 ช่า และเพลงรีมิกซ์ที่เป็นวัฒนธรรมดนตรีของภาคกลางก็ทำให้รถแห่กลายเป็นคอมโบความสนุกเปรียบเหมือน ‘เวทีมหรสพเคลื่อนที่’ หรือ ความสนุกสนานแบบติดล้อ สามารถจอดรถจัดเวทีแดนซ์ขนาดย่อม ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องง้อเวทีประกอบหรือเวทีแบบนั่งร้าน 

ส่วนสาเหตุว่าทำไมดนตรีรถแห่จึงได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นไทยยุคปัจจุบันนั้น อ้างอิงจากงานวิจัยของ ‘จารุวรรณ ด้วงคำจันทร์’ ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ส่วนหนึ่งเป็น เพราะความยืดหยุ่นของดนตรีรถแห่ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปเปิดเวทีแดนซ์ได้แทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นริมถนน, ลานกว้างในชุมชน , ลานวัด หรือแม้กระทั่งสนามกีฬาหน้าโรงงาน  อีกทั้งคนฟังสามารถมีส่วนร่วมกับการแสดงได้อย่างเต็มที่ จะเต้นรูดเสาไฟ เต้นท่ากระเด้งพื้น หรือจะโหนต้นไม้ตีลังกาก็ทำได้ตามสะดวก ตอบโจทย์งานรื่นเริงตามช่วงเทศกาลต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี  นอกจากนี้ การที่ชาวอีสานจำนวนมากอพยพเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไม่ว่าจะเพื่อทำงานหรือเรียน ก็ยิ่งเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมดนตรีแบบรถแห่ รวมทั้งเพลงแนว ‘อีสานป๊อป’ ให้เป็นที่นิยมมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ผู้คนที่อาจจะไม่ได้มีเชื้อสายอีสานรับรู้และยอมรับวัฒนธรรมดนตรีรถแห่มากขึ้น 

‍

อย่างไรก็ตาม เพลง 3 ช่าจังหวะโจ๊ะ ๆ รวมถึงดนตรีสไตล์รถแห่ มักจะถูกมองว่าเป็นมหรสพของกลุ่ม ‘ตลาดล่าง’ ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยหรือการศึกษาไม่สูงมากนัก และยังเป็นคำที่มีนัยยะของการแบ่งชนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจอยู่ในตัวเองเหมือนกัน  แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มเป้าหมายหรือฐานลูกค้าหลักของดนตรี 3 ช่าและรถแห่ก็คือกลุ่มคนทั่วไปหรือถ้าพูดให้เฉพาะเจาะจงก็คือ กลุ่มคนที่อยู่ในตลาดแรงงานซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะเข้าถึงมหรสพของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘ตลาดบน’  แต่ไม่ว่าอย่างไร รสนิยมด้านความบันเทิงเป็นเรื่องของ ‘ปัจเจก’ ที่บางครั้งเราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลซับซ้อน ขอเพียงแค่ชื่นชอบและไม่ได้ละเมิดสิทธิของคนอื่น จะตลาดบนหรือตลาดล่างก็ไม่ใช่ปัญหา

‍

หากย้อนกลับไปดูพัฒนาการของเพลง 3 ช่าและดนตรีแบบรถแห่นับตั้งแต่อดีต จะเห็นได้ว่ามันมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ถ้าลองนำเพลง 3 ช่าดั้งเดิมของ ลาติน อเมริกา มาเทียบกับเพลง 3 ช่า โจ๊ะ ๆ ของวัยรุ่นไทยในตอนนี้ ก็จะเห็นว่ามันต่างกันโดยสิ้นเชิง ในปัจจุบันเพลง 3 ช่าของไทยถูกพัฒนาจนถือว่าเป็นแนวเพลงของตัวเอง และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยของเราที่ไม่ว่าจะสงกรานต์ งานบวช งานแต่ง หรือบางที่จ้างมาวิ่งงานศพด้วย แถมได้รับความนิยมจนเกิดปรากฏการณ์ไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยก็ว่าได้เพราะนอกจากในไทยแล้วความโจ๊ะยังเป็นที่นิยมในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ฟิลิปปินส์ พม่า หรือ อินโดนีเซีย ทั้งแนวเพลงแบบดัดแปลงของ 3 ช่า แบบเขาเอง และเพลง 3 ช่าไทยที่ไปดังต่างประเทศด้วย แม้แต่ฝรั่งมังค่ายังยกนิ้วโป้งให้มีเอกลักษณ์ม่วนคักไม่เหมือนใคร แล้วอนาคตเพลง 3 ช่าและดนตรีรถแห่ไทยก็น่าจะพัฒนาต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการด้านความบันเทิงของคนในสังคมในช่วงเวลานั้น ๆ แนวเพลงไทย ดนตรีไทยทั้งหลายได้เข้าไปมีบทบาทในงานสากลกันมากขึ้นเช่นกันอย่างวงอินเตอร์ชื่อ Yin Yin ที่ได้นำหมอลำไทยไปเป็นส่วนประกอบในเพลงพวกเขาด้วย ดังนั้นหากศิลปะดนตรีไทยได้รับการสนับสนุนต่อยอดจากรัฐบาลอย่างจริงจัง (ไม่ใช่แค่แปะป้ายบอกว่านี่คือ ซอฟต์พาวเวอร์) ในอนาคตเราอาจได้เห็นรถแห่ 3 ช่าไทยถูกส่งออกไปทั่วโลก ในงานเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่าง Coachella,  Tomorrowland, Summerfest และอื่นๆ ดนตรีที่เคยผ่านการถูกมองด้วยหางตาอาจจะเป็นกลไกที่จะพาความเป็นไทยไปทั่วโลก

‍

References

https://museumsiam.org/km-detail.php?CID=177&CONID=3448

https://thestandard.co/isan-parade-car-history/

https://www.creativethailand.org/article-read?article_id=32957

https://prachatai.com/journal/2022/09/100326

https://voicetv.co.th/read/ztapb_lPG

‍

Read more
No items found.
Read more
No items found.
Archive
About Us
Collaborate with Us
Contact Us
Subscribe to EQ
Stay up to date with the latest stories
Thank you!
Oops! Something went wrong while submitting the form.