Menu.Menu.
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
story
Worayudh Pornprasert
photographer
published
15.6.24
days-since-publication
Thai
English
View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

กว่าจะมาเป็น ‘สมรสเท่าเทียม’ การเดินทางอันยาวนาน สู่ความเสมอภาคทางเพศ

~เรียกได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วทั้งเอเชียเลยก็ว่าได้ เมื่อรัฐสภาไทยมีมติเห็นชอบกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ ด้วยคะแนนถล่มทลายถึง 400 ต่อ 10 เสียง เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งหากกฎหมายฉบับนี้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการก็จะทำให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจะได้รับสิทธิต่าง ๆ ในฐานะคู่สมรสเหมือนกับคู่สมรสชาย-หญิงทั่วไปทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิการเบิกค่ารักษาพยาบาล การกู้ร่วม การตัดสินใจทางการแพทย์แทนคู่ชีวิต หรือแม้กระทั่งการเป็นทายาทรับมรดกโดยชอบธรรม โดยวันนี้เราก็จะพาทุกคนไปสำรวจความเคลื่อนไหว (Movement) ในการเรียกร้องสิทธิสมรสเท่าเทียมของไทยและต่างประเทศ และดูว่าร่างกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ ของไทยเราอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว และหากประกาศใช้ชาว LGBTQ+ จะได้รับสิทธิด้านใดบ้าง 

ประวัติศาสตร์การเรียกร้องกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ ในต่างประเทศ

~หากจะพูดถึงความเคลื่อนไหวสำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระเพื่อมไปถึงชุมชน LGBTQ+ ทั่วโลกแล้วไม่พูดถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดในประเทศพี่ใหญ่ของฝั่งโลกเสรี/ประชาธิปไตยอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ ก็คงไม่ได้ ซึ่งก็ต้องบอกก่อนว่า แม้จะได้ชื่อว่าเป็น ‘ดินแดนเสรี’ แต่สหรัฐฯ ก็เคยมีกฎหมาย ‘Sodomy Law’ ที่ระบุให้การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคนเพศเดียวกันเป็นความผิดทางอาญา อีกทั้งยังถือเป็น ‘โรคทางจิต’ ที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอีกด้วย ยิ่งในช่วงทศวรรษ 1950 – 1960 รัฐบาลกลางถึงกับมองว่าชาว LGBTQ+ มีโอกาสเป็นสายลับของสหภาพโซเวียตมากกว่าคนทั่วไปจนมีการสั่งไล่ออกเจ้าหน้าที่รัฐที่มีความหลากหลายทางเพศทั่วประเทศกว่า 5,000 คนในปี 1953 นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาการเหยียดหรือ ‘บูลลี่’ (Bully) เรื่องเพศสภาพที่แทบจะเป็นเรื่องปกติของคนในยุคนนั้น เรียกได้ว่าชาว LGBTQ+ ในยุคนนั้นแทบไม่เหลือสิทธิเสรีภาพ การใช้ชีวิตยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแต่งงานเพศเดียวกัน แต่แล้วในวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1969 เหตุการณ์ที่เป็นเหมือนประกายไฟแห่งความหวังและความกล้าของชาว LGBTQ+ ก็เกิดขึ้น รู้จักกันในชื่อ ‘เหตุจลาจลที่สโตนวอลล์’ (Stonewall Riot) ซึ่งชนวนเหตุเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเขาไปตรวจค้นบาร์แห่งหนึ่งชื่อ ‘สโตนวอลล์’  (Stonewall) ซึ่งเป็นบาร์สำหรับชาว LGBTQ+ ในย่านกรีนิช เมืองนิวยอร์ก จนเกิดการปะทะกับชาว LGBTQ+ กลุ่มหนึ่ง เหตุการณ์ลุกลามกลายเป็นการจลาจลครั้งใหญ่มีผู้เข้าร่วมหลายพันคน และต้องใช้เวลาถึง 5 วันกว่าที่เหตุการณ์จะสงบลง มีทั้งผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก 

~เหตุการณ์จลาจลที่สโตนวอลล์ถือเป็นการจุดชนวนให้ชาว LGBTQ+ ทั่วทั้งสหรัฐฯ มีความกล้าที่จะออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเพศอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน มีการเดินขบวนครั้งใหญ่ของชาว LGBTQ+ ตามเมืองใหญ่หลายเมืองในสหรัฐฯ ช่วงเดือนมิถุนายน ปี 1970 เพื่อเรียกร้องสิทธิและรำลึกถึงเหตุจลาจลที่สโตนวอลล์ และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของเทศกาล ‘Pride Month’ ในเดือน ‘มิถุนายน’ ของทุกปีอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน โดยหนึ่งในแคมเปญที่ประสบความสำเร็จอย่างมากหลังมีการออกมาเรียกร้องสิทธิของชาว LGBTQ+ ในสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษ 1970 – 1980 คือ การเรียกร้องให้ ‘สมาคมจิตแพทย์ของสหรัฐฯ’ (APA) เปลี่ยนนิยาม ‘รักร่วมเพศ’ (Homosexuality) ที่แต่เดิมถือเป็น ‘โรคทางจิต’ (Mental Disorder) ให้เป็นเพียง ‘ความเบี่ยงเบียน’ (Disturbance) ในปี 1973 ก่อนจะลดเป็น ‘ภาวะปกติ’ (Normal Variation) ในปี 1987 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การออกกฎหมายรองรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน (Same-Sex Marriage) ในหลายประเทศทั่วโลกในเวลาต่อมา หลังจากนั้นในปี 2000 มลรัฐเวอร์มอนต์ก็กลายเป็นรัฐแรกของสหรัฐฯ ที่ออกกฎหมายรองรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ตามด้วยมลรัฐแมสซาชูเซตส์ในปี 2004 และอีกหลาย ๆ มลรัฐในเวลาไล่เลี่ยกัน

~ทั้งนี้ หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ได้ชื่อว่ามีคุณูปการอย่างมากต่อการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ของชาว LGBTQ+ ตลอดช่วงทศวรรษ 1950 – 1980 ได้แก่ ‘แฮรี่ เฮย์’ (Harry Hay) ชายรักร่วมเพศเกิดในปี 1912 มีอาชีพเป็นนักเขียนและนักแสดง โดยเขาเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม ‘Mattachine Society’ ในปี 1950 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสมาคมใต้ดินกลุ่มแรกที่พยายามเรียกร้องสิทธิของกลุ่มคนรักร่วมเพศในสหรัฐฯ ทำให้ เฮย์ ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘Queer Malcom X’ ซึ่งเป็นการเปรียบว่าเขามีคุณูปการต่อชาวรักร่วมเพศเหมือนกับอดีตผู้นำชาวผิวสีอย่าง ‘แมลคัม เอ็กซ์’ (Malcom X) ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิให้กับชาวผิวสีนั่นเอง ขณะเดียวกัน ‘กิลเบิร์ต เบเกอร์’ (Gilbert Baker) ศิลปินชาวอเมริกันและนักสิทธิมนุษยชน LGBTQ+ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายของกลุ่ม LGBTQ+ โดยเขาเป็นเจ้าของไอเดียการใช้ ‘ธงสีรุ้ง’ (Rainbow Flag) เพื่อสื่อถึงกลุ่มความหลากหลายทางเพศที่มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1978 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงคลาสสิก ‘Over the Rainbow’ ในภาพยนตร์ ‘The Wizard from Oz’ (1939) 

~ปัจจุบัน มีประเทศที่ยอมรับสถานะของคู่รัก LGBTQ+ ในทางนิตินัยแล้วกว่า 36 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกการออกกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ เป็นประเทศแรกคือ ‘เนเธอร์แลนด์’ ซึ่งมีการผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2000 และประกาศใช้อย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2001 หลังจากนั้นประเทศในทวีปยุโรป อเมริกา รวมถึงเอเชีย ต่างก็ทยอยผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมตามมาอีกหลายประเทศ ซึ่งหากประเทศไทยประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ก็จะถือเป็นประเทศที่ 37 และเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียต่อจาก ไต้หวัน กับ เนปาล

การเคลื่อนไหวเรียกร้องกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ ในไทย

credit: Chawin Choangulia

~สำหรับการเคลื่อนไหวเรียกร้องกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ ในไทยแลนด์แดนคนดีย์ของเรานั้น มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 20 ปี โดยมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นส่วนการเมือง กฎหมาย รวมถึงสื่อและองค์กรเอกชนต่าง ๆ 

ความเคลื่อนไหวด้านการเมือง

~ย้อนกลับไปเมื่อปี 2544 รัฐบาลของนาย ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เริ่มมีแนวคิดเรื่องการออกกฎหมายรองรับการสมรสของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ถูกกระแสสังคมในขณะนั้นกดดันอย่างหนักจนรัฐบาลมองว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมทำให้ต้องพับแผนไป ต่อมาในปี 2556 มีการเรียกร้องสิทธิการสมรสของกลุ่ม LGBTQ+ ไปยังรัฐบาลของนางสาว ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ นำไปสู่การเตรียมออก ‘พ.ร.บ.คู่ชีวิต’ เพื่อรองรับสิทธิของคู่รัก LGBTQ+ แต่เกิดการรัฐประหาร 2557 ทำให้การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ยุติลง จนกระทั่งในปี 2563 เริ่มมีการเคลื่อนไหวภาคประชาชนเกี่ยวกับสมรสเท่าเทียมอีกครั้ง บวกกับกระแสทั่วโลกที่มีต่อกลุ่ม LGBTQ+ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวกมากขึ้น รัฐบาลของ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ จึงนำ พ.ร.บ.คู่ชีวิต กลับมาปัดฝุ่นพิจารณาใหม่อีกครั้ง ขณะเดียวกัน ‘พรรคก้าวไกล’ ก็เสนอ ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ เข้าสู่สภาฯ แต่เพราะเกิดสภาล่มบ่อยครั้ง ทำให้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ถูกคุมกำเนิด ไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาฯ  ต้องรอถึงปี 2567 ในรัฐบาลของนาย ‘เศรษฐา ทวีสิน’ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ให้สิทธิการสมรสของคู่รัก LGBTQ+ เทียบเท่าคู่รักชาย-หญิงทั่วไปทุกประการ จึงได้ผ่านการรับรองจากสภาฯ 

ความเคลื่อนไหวภาคประชาชน 

~สำหรับการเรียกร้องสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ภาคประชาชนในไทยนั้น เริ่มปรากฎความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ช่วงปี 2544 โดยมีการจัดตั้งกลุ่มหรือสมาคมขึ้นหลายกลุ่มเพื่อเรียกร้องสิทธิการสมรสและสิทธิด้านอื่น ๆ ของกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน รวมถึงรณรงค์ให้สังคมเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ เช่น ‘กลุ่มฟ้าสีรุ้ง’ ของนาย ‘กมลเศรษฐ์ เก่งการเรือ’, ‘กลุ่มเกย์การเมือง’ ของนาย ‘นที ธีระโรจนพงษ์’, ‘องค์กรบางกอกเรนโบว์’ (Bangkok Rainbow Organization) เป็นต้น ในปี 2552 มีความพยายามของของกลุ่ม LGBTQ+ ที่จะจัดงาน ‘ไพรด์พาเรด’ ขึ้นในไทยเป็นครั้งแรกเพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ รวมถึงเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม แต่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนต้องมีการยกเลิกแผนการไป จนกระทั่งในปี 2565 จึงได้มีการจัดงาน ‘บางกอกนฤมิตไพรด์’ เดินขบวนบนถนนสีลมเพื่อเฉลิมฉลองเดือนแห่งสิทธิความหลากหลายทางเพศครั้งแรกในกรุงเทพฯ ก่อนที่ในปี 2566 จะย้ายไปเดินขบวนบริเวณแยกปทุมวัน สยามสแควร์ ส่วนไพรด์พาเหรดที่เพิ่งจัดขึ้นล่าสุดในปี 2567 นี้ ถือเป็นปีแรกที่รัฐบาลไทยได้ร่วมสนับสนุนงานอย่างเป็นทางการ และยังมีการจัดงานไพรด์พาเหรดในหลายจังหวัดทั่วประเทศอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยเริ่มยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

ความเคลื่อนไหวด้านวัฒนธรรม

~อาจพูดได้ว่ากลุ่ม LGBTQ+ มีบทบาทในสื่อบันเทิงไทยมาอย่างยาวนาน เพียงแต่ส่วนมากตัวละครที่เป็น LGBTQ+ มักจะมีหน้าที่เพียงแค่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมมากกว่าจะเรียกร้องสิทธิหรือสร้างการยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศให้กับผู้ชม แต่การเติบโตของ ‘นิยายวาย’ และ ‘ซีรีส์วาย’ ที่บอกเล่าด้านใหม่ ๆ ของกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ทั้งเรื่องราวของชีวิต ความปรารถนา ความกดดัน และความไม่เท่าเทียมต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญในสังคมปัจจุบัน  เช่นเดียวกับ ‘ภาพยนตร์ไทย’ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก และมีหลายเรื่องที่ได้รับรางวัลจากเวทีประกาศรางวัลทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ‘รักแห่งสยาม’ (2550), ‘เพื่อน...กูรักมึงว่ะ’ (2550), ‘ขอให้รักจงเจริญ’ (2550), ‘Yes or No’ (2553), ‘พี่ชาย My Hero’ (2558), ‘มะลิลา’ (2561), ‘ดิวไปด้วยกันนะ’ (2562) เป็นต้น ทำให้ชาว LGBTQ+ เริ่มมีที่ทางปรากฏในสื่อมากขึ้น ผู้คนในสังคมเริ่มมองว่าไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบไหนก็ควรมีสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่ควรถูกกีดกัน

~นอกจากนี้ ศิลปินไทยหรือคนที่ทำงานในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมหลายคนยังมีส่วนสำคัญในการเรียกร้องสิทธิของชาว LGBTQ+ รวมถึงขยายการรับรู้ให้สังคมไทยเห็นว่าสถานภาพทางเพศในยุคปัจจุบันมีความหลากหลาย ไม่ได้มีแค่ กะเทย, เกย์ และเลสเบี้ยนเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ‘ปันปัน นาคประเสริฐ’ หรือ ‘แพนไจน่า ฮีลส์’ ศิลปินไทยผู้ขับเคลื่อน ‘วัฒนธรรมแดร็ก’ (Drag Culture) รวมถึง ‘ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์’ อดีตผู้กำกับภาพยนตร์และอดีต สส.ข้ามเพศคนแรกในประวัติศาสตร์รัฐสภาไทย (พรรคอนาคตใหม่) ที่ขับเคลื่อนเรื่องสมรสเท่าเทียมและการแต่งกายตามเพศสภาพ เป็นต้น 

สถานะกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ ของไทยในปัจจุบัน

credit: Chawin Choangulia

~ปัจจุบัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ชาว LGBTQ+ ต่างเฝ้ารอกันใจจดใจจ่อนั้นกำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของ ‘วุฒิสภา’ ซึ่งมีทั้งหมด 3 วาระ โดยในการพิจารณาวาระแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา วุฒิสภาได้โหวตผ่านวาระ 1 ด้วยคะแนน 147:4 เสียง พร้อมให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 27 คน เพื่อพิจารณาร่างฯ ต่อในวาระที่ 2 และ 3 ในวันที่ 18 มิ.ย. 2567 ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากวุฒิสภโหวตผ่านทั้ง 2 วาระที่เหลือ  นายกรัฐมนตรีก็จะนำร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น ๆ อีกถึง 47 ฉบับ ทำให้การพิจารณาต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะผ่านการพิจารณาในวาระ 2 และ 3 แต่หากสมมติเล่น ๆ ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมได้มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้ว บรรดาคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศจะได้รับสิทธิตามกฎหมาย ดังต่อไปนี้ ‍

~1.สิทธิการได้ดูแลชีวิตของคู่รัก: เช่น การเบิกรักษาพยาบาล การตัดสินใจสำคัญทางการแพทย์แทนคู่รัก หรือกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต อีกฝ่ายก็จะมีสิทธิในการจัดการศพ เป็นต้น‍

~2.สิทธิในการแต่งงาน: สามารถจดทะเบียนสมรสโดยมีกฎหมายรองรับ สามารถจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยชอบธรรม รวมไปถึงการเป็นตัวแทนทางกฎหมายโดยธรรม เป็นต้น‍

~3.สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม: จากเดิมที่คู่รัก LGBTQ+ สามารถรับเป็นผู้ปกครองได้เพียงแค่คนเดียว แต่หากมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็จะทำให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถรับบุตรบุญธรรมโดยเป็นผู้ปกครองร่วมกันได้ โดยผู้รับบุตรบุญธรรมจะต้องมีอายุมากกว่าบุตรอย่างน้อย 15 ปี‍

~4.สิทธิในการหย่าร้าง: เช่น สิทธิในการฟ้องหย่า, สิทธิการเลี้ยงดูบุตร รวมถึงสิทธิในการเรียกค่าเลี้ยงดูกรณีหย่าร้าง เป็นต้น 

~พูดมาถึงตรงนี้หลายคนก็น่าจะพอเห็นภาพว่าความพยายามเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมของชาว LGBTQ+ มีพลวัตรความเปลี่ยนแปลงมาค่อนข้างยาวนาน ผ่านความรุนแรง คราบเลือด และน้ำตามาก็มาก แต่พอมาถึงวันนี้ก็ต้องบอกว่าชุมชนชาวชาว LGBTQ+ เดินทางมาได้ไกลจากจุดเริ่มต้นมาก จากเดิมที่ถูกสังคมมองว่าเป็นพวก ‘วิปริตผิดเพศ’ หรือจะพูดให้ดูดีหน่อยก็คือ ‘ป่วยทางจิต’ แต่หลังจากผ่านการต่อสู้เรียกร้องมาเป็นสิบปี ในที่สุดสังคมก็เริ่มเปิดใจยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายมากขึ้น มองว่าความหลากหลายทางเพศเป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนที่ต้องเคารพ ก้าวไปถึงขั้นที่มองว่าทุกเพศสภาพควรมีสิทธิแต่งงานที่เท่าเทียมกับชาย-หญิงทั่วไป ซึ่งนี่ถือความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับชาว LGBTQ+ ทั่วโลก 

ที่มา
https://thestandard.co/united-states-lgbtq-long-protest-history/
‍
‍https://www.thaipbs.or.th/news/content/328403
‍
https://en.wikipedia.org/wiki/Harry_Hay
‍
‍
https://www.thaipbs.or.th/news/content/335137
‍
https://www.thansettakij.com/world/527597
‍
https://www.thaipbs.or.th/now/content/992
‍
https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1016063
‍
https://theactive.net/news/gendersexuality-20240402/

‍

‍

Read more
No items found.
Read more
No items found.
Archive
About Us
Collaborate with Us
Contact Us
Subscribe to EQ
Stay up to date with the latest stories
Thank you!
Oops! Something went wrong while submitting the form.