Menu.Menu.
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
story
EQ
photographer
published
23.7.25
days-since-publication
Thai
English
View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

มนุษย์เควียร์ : เดือนไพรด์ ฮอร์โมน ตะวันตก ทรานส์ กรรม Self-love

ในยุคที่ตัวอักษรใน LGBTQIAN+ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เราระบุเพศตรงตามความเป็นตัวเองได้มากที่สุด ในวันที่การรักใครสักคนกลายเป็น ‘สิทธิ’ เพราะระเบียบโลกแบบเสรีนิยมใหม่ ในชั่วโมงที่อำนาจเหนือร่างกายยังคงเป็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และในวินาทีที่ระบบเพศสองขั้วยังฝังในกฎระเบียบราชการไทย สิ่งสำคัญคือประสบการณ์ของคนเราจะสามารถแยกออกจากกล่องเพศและจะสามารถออกจากความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของสังคมที่มุ่งหาคำนิยามให้สรรพสิ่งได้อย่างไรตลอดเวลาของการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ

ตั้งแต่ขบวนการ Suffragette การจราจลที่ Stonewall หรือกระทั่งการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย เหตุการณ์ทั้งหมดต่างบอกกับชาวเราว่าการต่อสู้เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา เป็นการต่อสู้ในชีวิตประจำวัน และเป็นการต่อสู้ทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่ เช่น พวก Incel ในเน็ต ชายแท้ในสภา มาตรฐานความงาม นิยามคำศัพท์ หรือจะเป็นสายตาของผู้คนที่ห้องน้ำสาธารณะ

วันนี้เราจึงอยากชวนทบทวนมุมมองเรื่องเพศที่ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ และอยากชวนสำรวจ 10 เรื่องราวของคนธรรมดาที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างน้อย 2 ประการ หนึ่ง-เพศไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขามีจู๋หรือเธอมีจิ๋ม สอง-เสียงและการต่อสู้และตัวตนของพวกเราไม่ได้สิ้นสุดลง ณ วันที่ 30 มิถุนายน

 

เพศเป็นสิ่งสร้างทางสังคม?

‍

ก่อนธงหลากเฉดจะปลิวไสวตามถนนสายหลักของกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในไทย ย้อนกลายไปราวสามศตวรรษ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพิ่งค่อยๆ ได้รับความนิยมในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18

The History of Sexuality, Volume I : The Will to Knowledge (1967) หนังสือเล่มแรกในซีรี่ส์ประวัติศาสตร์เพศวิถีของตัวแม่แห่งโลกวิชาการอย่าง Michel Foucault (1926-1984) อธิบายว่า ‘เพศ/เพศวิถี’ ถูกสร้างโดยองค์ความรู้สองชุด ได้แก่ เพศวิทยา (sexology) และจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) ความรู้สองชุดนี้มอบอำนาจให้แพทย์ผลิตความจริงผ่านการอธิบายที่นำไปสู่การระบุอัตลักษณ์ทางเพศ 

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อสร้างคำอธิบายเหล่านั้น เพราะมันมีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ และมีความเป็นกลาง กระบวนการนี้แทรกซึมในศาสตร์ทุกแขนงของโลกตะวันตก ทำให้ ‘เพศ’ กลายเป็นวัตถุแห่งการศึกษา ประกอบกับสังคมยุโรปช่วงนั้นเชิดชูศีลธรรมทางเพศแต่กลับต้องปกปิดเพศวิถีในที่สาธารณะ เพศศึกษาจึงเริ่มแยกความแตกต่างทางร่างกายผ่านอวัยวะ ฮอร์โมน โครโมโซม สมอง ระบบประสาท รวมถึงกล้ามเนื้อ และยังเป็นศาสตร์ที่ถูกมองว่าจะช่วยแก้ไขความผิดปกติทางเพศ โรคติดต่อ ความหย่อนสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ดีงามอย่างการข่มขืน การทำแท้ง โสเภณี เพราะกรอบทางศาสนายังมองว่าการร่วมเพศใดใดที่ไม่ใช่เพื่อการสืบพันธุ์นับเป็นความถดถอย (degeneration) นั่นทำให้การควบคุมเรื่องเพศกลายเป็นหนึ่งในอำนาจที่มาจากทุกทิศทุกทางในนามของ ‘สุขอนามัยสาธารณะ’ และผู้ที่สามารถบอกได้ว่าใครผิด ‘ธรรมชาติ’ ก็คือแพทย์นั่นเอง 

กล่าวคือ ไม่เพียงแต่ชนชั้น รัฐ ระบบเศรษฐกิจ หรือกฎหมายที่คอยควบคุมสังคม แต่อัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล (Gender Identity) และรสนิยมทางเพศ (Sexual Orientation) กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่รัฐสมัยใหม่ในยุโรปใช้จัดระเบียบสังคมด้วย

เมื่อมองตามกรอบข้างต้น การแบ่งเพศชายหญิงในวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกจึงไม่มีความชัดเจน เป็นเส้นเบลอๆ ที่เพศภาวะกับเพศวิถีซ้อนเหลื่อมกัน เช่น ลักษณะ ‘ชายเหมือนหญิง’ ปรากฏตั้งแต่สังคมพระในญี่ปุ่นที่มักจะต้องมีเณรหน้าตาดีๆ อยู่ข้างกายเสมอ จนถึงกับมีเวทีประกวด ส่วนผู้ชายที่สามารถเล่นบทบาทของผู้หญิงในอุปรากรจีน ก็เป็นสุดยอดของความปรารถนาของปัญญาชนชาวจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยราชวงศ์ชิงที่เน้นให้ผู้ชายรับบทเป็นฝ่ายรับเฉกเช่นผู้หญิง จนถึงขั้นที่ผู้ชายซึ่งสวยราวหญิงงามจะถูกมองว่าเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์แบบในตัวเองมากที่สุด หรือในชนเผ่าที่ไม่มีกรอบคิดเรื่องรักร่วมเพศ (Homosexual) อย่างชนเผ่าเอ็มบูติ (Mbuti) ในแอฟริกา พวกเขาจะเต้นรำคนเดียวก็ได้ เพราะคู่เต้นของเขาคือธรรมชาติ ความสุขจากการร่วมเพศไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับการหลั่ง แต่คือการสัมผัสลูบไล้เสียงเพลง ธรรมชาติ ต้นไม้ ป่าเขา หรือเรือนร่างมนุษย์ 

ขณะเดียวกัน เพศในวัฒนธรรมเอเชียไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะการแสดงออกเท่านั้น แต่ยังมีมิติจิตวิญญาณด้วย อย่างในพิธีทรงเจ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ร่างทรงมีสถานะเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ร่างทรงมักสืบทอดผ่านสายเลือดที่เป็นผู้หญิงและยังเปิดที่ทางให้คนที่ไม่ใช่ผู้ชายสามารถเข้าถึงบทบาททางความเชื่อได้ เช่น ‘ปู๊เมีย’ หรือเกย์/กะเทยในสังคมล้านนาที่มีบทบาทในกิจกรรมทางวัฒนธรรมผ่านการฟ้อนรำ ทำบายศรี จัดดอกไม้  และบทบาทการเป็น ‘ม้าขี่’ หรือร่างทรงที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์มนุษย์กับโลกของผี ซึ่งปู๊เมียมีสัดส่วนเป็นม้าขี่มากกว่าเพศอื่น สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าวิธีคิดเรื่องเพศทั่วโลกไม่ได้แนบชิดลงรอยกับวิธีคิดในโลกตะวันตก

แม้ในแต่ละวัฒนธรรมจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน แต่การเชื่อมร้อยโลกทั้งใบด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนับเป็นส่วนเร้าให้บรรทัดฐานทางเพศภาวะ (Gender Norm) กลายเป็นทัศนคติของสังคมที่กำหนดกิจกรรมของผู้ชายกับผู้หญิงให้มีความแตกต่างอย่างเฉพาะเจาะจง ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ผู้ชายกลายเป็นคนออกจากบ้านไปทำงาน (Breadwinner) ส่วนผู้หญิงคือแม่บ้าน (Homemaker) หรือในสังคมไทยก็คือ ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ส่วนผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง สองบทบาทที่ชัดเจนนี้ยังถูกทำให้กลายเป็นสถาบัน (Institutionalised) ผ่านการแต่งงานที่เสมือนจุดสูงสุดของเพศวิถีแบบรักต่างเพศ (Heteronormativity) ส่วนใครก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในระบบสองขั้ว (Binary) จะถูกมองว่าแปลกหรือ ‘Queer’ สิ่งนี้สอดรับกับสถานะ ‘เพศที่สาม’ หรือ ‘กะเทย’ ในสังคมไทย แม้พวกเขาไม่ได้ถูกมองว่าแปลกในเชิงดูหมิ่น แต่พวกเขาไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิง และไม่มีบทบาททางเพศภาวะใดรองรับ

เพศกลายเป็นเพียงเรื่องของจิตวิทยาพัฒนาการ ฮอร์โมน อัณฑะ รังไข่ และชีววิทยา เพราะพลังของสำนึกเรื่องเพศแบบตะวันตกกระจายไปทั่วโลกผ่านการล่าอาณานิคมและการกระทำให้เป็นสมัยใหม่ (Modernization) วาทกรรมทางการแพทย์ยังคงผูกขาดความจริงเรื่องเพศมากกว่าประสบการณ์ของบุคคลที่เต็มไปด้วยความปรารถนา แรงบันดาลใจ ความเจ็บปวด และความหวัง ดั่งที่นักวิชาการเฟมินิสต์สายวิพากษ์อย่าง Gayatri Chakravorty Spivak (1942-ปัจจุบัน) ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้หญิง (และเพศอื่นๆ) ในโลกที่สามคล้ายคนที่ถูกทำให้เป็นใบ้ เพราะพวกเขาถูกกดขี่สองต่อ ได้แก่ หนึ่ง-องค์ความรู้แบบจักรวรรดินิยมของชาติตะวันตก และสอง-วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในท้องถิ่น เธอกล่าวอย่างเผ็ดร้อนว่า ความรู้อื่นที่ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของระบบเหตุผลแบบตะวันตกกำลังเลือนหายไปจากความเข้าใจของมนุษย์ นั่นทำให้ประสบการณ์ ความคับข้องใจ และความรู้สึกเป็นเพียงเสียงพูดที่ไม่มีใครได้ยิน เป็นเสียงของผู้ไร้เสียง และเป็นเสียงที่ยากจะเปล่งออกมา

คำถามคือ หากเราเชื่อว่าธงหลากเฉดสีในขบวน Pride เป็นสัญญาณบอกว่าโลกเข้าสู่ยุคแห่งความเท่าเทียมทางเพศ แล้วอะไรกันแน่ล่ะที่ทำให้ความไม่เท่าเทียมนั้นมีที่ยืนตั้งแต่ต้น เราจะอธิบายประสบการณ์ส่วนตัวโดยที่เป็นเสียงของตัวเองได้ขนาดไหนกัน และมากไปกว่านั้น คอมมูนิตี้เควียร์ในปัจจุบันจะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า เป็นมิตรและโอบรับทุกความหลากหลายหรือไม่?

ก่อนตอบคำถามเหล่านั้น เราอยากพาทุกคนไปสำรวจ 10 เรื่องราวของผู้คนที่ใช้ชีวิตภายใต้โลกที่ ‘เพศ’ เป็นประเด็นที่ใกล้ชิดกับตัวเราเสมอมา

  Alter Ego

“เราเป็นเด็กที่ถูกห้ามไม่ให้แสดงความเป็นผู้หญิง ทำให้มีความเก็บกดตรงนี้ พ่อแม่เพิ่งมารู้ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ตอนที่เราทำแดร็กและกำลังจะไปแข่ง การทำแดร็กเป็นเหมือนการจุดระเบิดที่ช่วยแก้ไขปมในใจของเรา เป็นจุดที่เรามีความสุข เหมือนเราได้กลับไปแก้ไข ดูแล และเชื่อมต่อกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง

“การแต่งแดร็กเป็น Alter ego เป็นอีกบุคลิกหนึ่งที่ทำให้เราได้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่จินตนาการไว้ ซึ่งการปรุงแต่ง Alter ego ของเราให้ไปถึงจุดนั้นคือฟินน้ำแตก

“เราชอบเกย์ผู้ชาย เราไม่ได้มีลุคผมยาว ไม่ได้ทรานส์ ไม่ได้มี Alter ที่เป็นภาพลักษณ์ของผู้หญิง เราไม่ได้รู้สึกว่าต้องพยายาม เราแค่ตื่นมาแล้วเลือกได้ว่าวันนี้อยากเป็นอะไร วันนี้อยากแต่งหญิง อยากใส่วิกผมสั้นหรือวิกผมยาว สุดท้ายแล้ว Gender เป็นเรื่องของการแสดงออก เราทุกคนสามารถแสดงให้ตัวเองเป็นเพศไหนก็ได้ นั่นคือความสนุกของการแต่งตัว

“เราเรียกตัวเองรวมๆ ว่าเป็นเควียร์ เพราะยังไม่มั่นใจหรือแน่ชัดในอัตลักษณ์ของตัวเอง ยังคงสนุกกับการสำรวจและลื่นไหล บางวันก็อยากแต่งหญิง บางวันก็อยากเป็นเกย์ ในขณะเดียวกัน มันก็เหลื่อมกับการทำงานที่ต้องแต่งหญิง มันเป็นสเปกตรัมที่ลื่นไหลไปมาไม่หยุดสักที

“มุมมองต่อความเป็น Binary มันปัจเจกนะ เราสองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากให้โลกไม่มี Binary แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสหลักหรือสิ่งที่สังคมคาดหวังยังคงเป็น Binary คือยังคงมีการแบ่งอยู่ลึกๆ การทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับในสังคมทุนนิยมได้ สร้างชื่อเสียงและสร้างเงินได้ ก็ยังต้องมีความเป็น Binary อยู่ดี แต่ส่วนตัวคิดว่าโลกที่ทุกคนใฝ่ฝันคงเป็นโลกที่ไม่มี Binary”

‍

GAWDLAND (ก็อด-แลน) คือศิลปินแดรกวัย 23 ปี ที่มีเอกลักษณ์วิบวับสุดแกลมที่สุดคนหนึ่งของยุค เธอยังเป็น Drag Performer, TV Personality, Superstar, นักแสดง, Influencer, Tiktoker, Instagram Model, และ Hot Girl Internet หลายคนอาจรู้จักเธอผ่านเวที Drag Race season 3

เด็กผู้ชาย

“เราเป็นลูกคนเดียว โตที่กรุงเทพฯ ตอนเด็กไม่ค่อยมีเพื่อน จำได้ว่ามีเพื่อนจริงๆ ก็ช่วง ป.4 จากโรงเรียน ซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิง แต่ช่วงประมาณ ป.1-2 จะมีเพื่อนเป็นเด็กผู้ชายอยู่แถวร้านที่แม่ทำงาน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้สึกว่าการเป็นเด็กผู้ชายมันดีจัง เพราะเวลาออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน แม่เพื่อนไม่มาตาม เวลาออกไปเล่นร้านเกม หรือซอยข้างๆ ออกไปตึกใบหยก ออกไปพาต้า แม่เราจะเดินมาตามตลอดเพราะเป็นห่วง กลัวจะมีคนมาหลอก นี่เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกว่าการเป็นผู้ชายนี่มันอิสระจังเลย อยากเป็นแบบนั้น

“ประมาณ ป.6 เราเริ่มรู้สึกชอบผู้หญิง เห็นรุ่นพี่ ม.3 ที่โรงเรียนดูน่ารักดี รู้สึกว่าแก๊งนี้ดูน่าสนใจ อยากคุยด้วย เริ่มสนใจผู้หญิง เริ่มเข้าไปคุยกับเขา คุยแบบเด็กมาก คืออยากรู้จัก ขอเบอร์ แล้วก็โทรไปร้องเพลงจีบเขาทุกวัน (หัวเราะ) เพราะชอบร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล แต่ไม่ได้จีบจริงจังนะ แค่อยากคุยด้วยเฉยๆ

“พอขึ้นมัธยม ม.1 เรายังผมยาวอยู่ เพราะเราย้ายมาจากโรงเรียนคริสต์ เราจะไว้ผมยาว ถักเปีย แต่พอมัธยมจะเป็นโรงเรียนสหฯ ประมาณ ม.2 เราเริ่มตัดผมสั้น เริ่มเห็นคำว่า ‘ทอม’ เข้ามาในชีวิต เริ่มเห็นรุ่นพี่ที่เขาเรียกกันว่าทอมผมสั้น เราก็รู้สึกไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่เราอยากเป็นไหม แต่ก็ทำไปก่อน ตัดผมสั้น รู้สึกว่ามันสบายดีนะ รู้สึกว่ามันก้ำกึ่งกับการแหกกฎในตอนนั้นด้วย

“เราไม่มี Conflict กับตัวเอง แต่คนอื่นมี Conflict กับเรา เช่น ย้อนไปตอน ม.1 ที่เราผมยาว มีเด็กผู้ชายในโรงเรียนหรือรุ่นพี่เข้ามาจีบเรา และก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงเข้ามาไม่ชอบเรา หมั่นไส้เรา พอเราตัดผมสั้น ผู้ชายที่เคยชอบเรากลับไม่ชอบเรา ผู้หญิงกลับมาชอบเราแทน คือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็มีคนไม่ชอบอยู่ดี ไม่ว่าจะผมยาวหรือผมสั้น แต่นั่นไม่สำคัญ พอตัดผมสั้นแล้วเรารู้สึกว่ามีเส้นทางบางอย่างเปิดชัดเจน เราเลยไปจีบรุ่นพี่คนหนึ่ง และก็ได้เป็นแฟนกัน

“ช่วงที่เราเข้ามามัธยม เราบอกคนอื่นว่าเราชื่อ ‘พัด’ ซึ่งเป็นชื่อมาจากชื่อจริงของเราคือ ‘สุทธิภัทร’ ซึ่งพัดเรียกง่ายกว่า ก็เลยบอกคนอื่นว่าเราชื่อพัด มันเป็นความเคยชิน มันง่ายต่อการสื่อสาร ไม่ได้คิดเยอะเท่าไหร่

“ปีที่แล้ว (2024) เราตัดสินใจกลับมาใช้ชื่อ ‘มะเหมี่ยว’ เพราะเราตัดสินใจเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในการทำงาน คือเราเดบิวต์มาเป็นศิลปินเดี่ยว เราก็หาว่าศิลปินเดี่ยวจะใช้ชื่ออะไร คิดไปคิดมาก็มะเหมี่ยวไง แค่เอามะเหมี่ยวกลับมา มันได้ค้นหาสิ่งเก่าๆ ที่เราเคยเป็นเหมือนกัน ช่วงเด็กๆ เราเป็นคนยังไงบ้าง ช่วงที่โตมา มัธยม เข้ามหาลัย เรียนจบ ทำงาน เราว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไปกับบางอย่างที่เราไม่ได้เปลี่ยนเลย

“มะเหมี่ยวน่าจะเป็นความไม่คิดเยอะ ด้วยความที่มะเหมี่ยวตอนเด็กคือเด็กที่ไม่ได้คิดอะไรเลย อยากทำอะไรก็ทำ ตอนนี้อยากเป็นอย่างนั้น เพราะคนเราโตขึ้นชอบคิดเยอะ กังวลนู่นนี่นั่น เราไม่อยากมานั่งกังวลกับสิ่งที่มันยังไม่เกิดหรือมันเกิดไปแล้ว เราแค่อยากอยู่กับปัจจุบัน

“มีเรื่องหนึ่งที่เราเคยคุยกับออม (ออม—ปัถวี เทพไกรวัล, ผู้กำกับและ Festival Director แห่ง H0M0HAUS) ว่าทำไมความโกรธในตัวเราถึงเยอะเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเราเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่สื่อสารผ่านทุกเพลงที่เขียน ภายใต้ความเศร้ามีความโกรธอยู่ในนั้นหมดเลย ซึ่งออมก็บอกว่าปกติ ออมก็เป็น เพราะภาพลักษณ์ของเควียร์หรือ LGBT ไม่ได้ถูกยอมรับในสังคม เหมือนแค่นั่งหายใจเฉยๆ ก็ผิด โดนอะไรบางอย่างเสมอ เหมือนเราต้องเก็บกดบางอย่าง ทำให้ข้างในมีแต่ความรู้สึกว่า ‘ถ้าเป็นคนปกติก็คงไม่ต้องมานั่งรู้สึกอย่างนี้’ มีช่วงเด็กๆ ที่เราชอบคนหนึ่ง เขาก็ชอบเรานะ แต่เขาไม่สามารถยอมรับได้ว่าเขาชอบผู้หญิงทอม”

‍

MAMIO (มามิโอะ) หรือ มะเหมี่ยว—สุทธิภัทร สุทธิวาณิช นักร้อง นักแต่งเพลง และศิลปินเดี่ยวที่ผลัดใบจากบทบาทนักร้องนำของ Zweed’n  Roll

การทดลองทางชีวภาพ

“ตอนเป็นเกย์ เราหล่อเท่เหมือนผู้ชาย มีแต่คนจีบ เราเหมือนจะคิดสั้นไปด้วยซ้ำว่า ‘แต่งหญิงดีกว่า กลัวโดนทหาร’ เพราะเราหล่ออ่ะ เรารู้สึกว่า ‘กูขอใบรับรองแพทย์ไม่ผ่านแน่เลย’ คือยังไม่ได้ไปขอนะ แค่ลองถาม เขาบอกว่า ‘ต้องทำนม’ คือเขาไม่เก็ต เราก็เลยแพนิก และเพราะเรายังไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ ก็เลยไม่รู้ ไม่ได้เปิดโลก เราผ่อนผันมาเรื่อยๆ แล้วพอเริ่มดัง เริ่มมีตังค์ก็เลยไปทำนม

“ทั้งหมดทั้งมวลแล้วแค่ไม่อยากเป็นทหาร แต่ไม่ใช่การฝืนตัวเอง เราอยู่ในร่างไหนก็ได้ รู้สึกรักทุกร่าง รักทุกเวอร์ชั่นที่ตัวเองเป็น และในทุกเวอร์ชั่นที่ตัวเองเป็นก็มีความหลากหลายทางเพศ และแต่ละร่างที่เป็นก็มีความทรงจำนั้นอยู่ มันจะมีสิ่งที่เราเป็น ณ ตอนนั้น ณ โมเมนต์นั้น เรารู้สึกเราเอนจอย ไม่ฝืน ไม่ซึมเศร้า ไม่ดิ่ง แต่ค่อนข้างโหดร้ายไปหน่อย เหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ดัดแปลงพันธุกรรม (หัวเราะ) แต่ว่าฉันเอนจอยนะ ถ้าอนาคตมีเหล็กมาเสริมแขน ก็เอา เริ่ด

“ถ้าให้เรานิยามความเป็นเควียร์ เราอาจตั้งขึ้นมาใหม่เลยว่า ‘ฉันเป็นเพศ Roblox’ (หัวเราะ) ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นกึ่งๆ Asexual ด้วย เพราะฉันไม่ได้ต้องการ ‘PlayGone - PornGay’ ไม่ได้ต้องการมีอะไรกับคนอื่นขนาดนั้น ชอบคุยเล่น ชอบสนิทสนมก่อนแล้วค่อยไปต่อ ถ้า One Night Stand ก็อาจจะไม่ใช่แนว แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน (หัวเราะ) เข้าร่วมได้ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีนะ

“เรารู้สึกว่า ‘เควียร์’ มันคือความหลากหลาย เรารู้สึกว่าเราเป็นแบบนั้น ไม่ได้กำหนดตัวเองว่า ‘ฉันเป็นเกย์’ ‘ฉันเป็น Bisexual’ แต่รู้สึกไปเรื่อย ได้หมด ตอนเป็นเด็กเคยชอบผู้หญิง โตมาเริ่มชอบแด๊ดดี้บอย ชอบผู้ชาย ชอบเกย์ ทุกวันนี้ยังรู้สึกว่า 10% บางครั้งก็ชอบผู้หญิง บางครั้งก็ชอบทอมที่หล่อๆ บางครั้งก็ชอบผู้ชาย บางครั้งก็ชอบแบดบอย แร็ปเปอร์ก็ชอบ

“เราไม่ค่อยมีช่วงที่หลงทางในเรื่องเพศ อาจมีภูมิคุ้มกันดี คือสังคมอาจจะไม่ได้ดี ไม่ได้อยู่ในบ้านรวย สังคมโรงเรียนก็ทั่วไป แต่เราอยู่ในโลกของตัวเองไปเรื่อยๆ มันจะมีฟองสบู่ล้อมรอบตัวเรา พอคนเข้ามาในบับเบิลของเรา ทุกคนเหมือนอยู่ในโลกเรา อยู่ในตำบลศรีเลิศตลอดเวลา เราชอบส่งพลังงานบวกให้กับทุกคน แล้วถ้าเราเศร้า เราก็จะไม่ส่งพลังงานนั้นออกมา แต่จะเล่าว่ารู้สึกยังไง แล้วก็ดิ่งบ้าง แล้วก็กลับมาบ้าง

“คือจะแต่งอะไรก็แต่ง แค่ไม่เดือดร้อนคนอื่น เป็นคำที่ใช้ได้ทุกวงการ แล้วการ explore เรื่องเพศก็ไม่ใช่เรื่องผิด ฉันยังทดลองกับร่างกายตัวเองเลย ต่อให้คนอื่นคอมเมนต์ในแง่ลบ แต่ถ้าเราโอเค มันก็โอเคแล้ว เราไม่ต้องสนใจคำพูดของคนอื่นและไม่ต้องคิดไปเองว่ามีคนพูดถึงเราแต่ในแง่ลบ ความจริงไม่มีคนสนใจเราขนาดนั้น พอมี mindset ว่าไม่ได้มีคนสนใจเราขนาดนั้น ชีวิตก็ง่ายขึ้น แต่ต้องอยู่ตามบรรทัดฐานของสังคมบ้าง ไม่ใช่ไปยิงกราดหรือไปด่าคนอื่นเขา นั่นแหละ ‘I'm just living that life’ อ่ะ แบบที่ Addison Rae บอกไว้ จบ”


เจมส์ หรือ เบบี้โจลี่สตาร์ TikToker ที่กำลังมีผู้ติดตามแตะ 3 ล้าน และเพิ่งปล่อยเพลงสะท้านขนหูอย่าง ‘เหิดระบี๋’ ‘พูเซ่’ ‘ตริ้วออนไลน์’ มาต่อยอดความสำเร็จอย่างล้นหลามของ ‘สตอร์เบอรี่มรกต’

Spark Joy

“เราเรียนหญิงล้วนตั้งแต่ อ.2 ถึง ม.3 ช่วงประถมปลายรู้สึกชอบผู้หญิง มีแฟนเป็นผู้หญิง พอย้ายโรงเรียนมาตอน ม.ต้น ก็อยากลองเปลี่ยนลุคตัวเองให้ดู Masculine มากขึ้น ลองไปซอยผม ซอยสั้นผิดระเบียบ เจาะหูหลายรู พยายามแสดงความเป็นตัวเอง ตอนนั้นชอบคอสเพลย์และชอบความเป็นญี่ปุ่นด้วย

“ช่วง ม.ต้น ฮอตมาก มีรุ่นพี่ มีเพื่อนมาชอบ มีรุ่นน้องทำเพจแฟนคลับให้ ตอนนั้นหล่อมาก เป็นทอมเท่ในโรงเรียน เพราะเป็นกรรมการนักเรียนที่ซอยผมผิดระเบียบ ก็เลยยิ่งมีแฟนคลับ มีช่วงหนึ่งที่ไม่กล้าใส่ยกทรงและเดินหลังค่อม กลัวนมใหญ่เกิน มันไม่หล่อ แต่เป็นสิ่งที่ฝังใจนะ เพราะในงานสัปดาห์ชมรม เราอยู่ชมรมการ์ตูน ต้องมีโชว์ ก็เลยโชว์ร้องเพลง Koisuru Fortune Cookie ของ AKB48 ที่กลางโรงเรียน ต้องแต่งตัวแบบชุดมินิสเกิร์ต แต่งหน้า ตอนนั้นมั่นใจ ก็เต้น ก็ร้องเพลง แต่หลังจากวันนั้น คนมองเราเปลี่ยนไป เพราะเราดูไม่เหมือนทอม มีรุ่นพี่มาเล่าให้ฟังว่า พี่คนที่จีบเราอยู่ เขาเสียใจ ใจสลาย ร้องไห้ เพราะเราออกสาวไป เรารู้สึกสับสนว่าตัวเองควร express ยังไงดี ควรแต่งหล่อไปเลยไหม หรือยังคอสเพลย์สวยๆ ได้อยู่ หลังจากนั้นจนถึงช่วง ม.ปลาย ก็เลิกแต่งตัวไปเลย ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ตลอด แต่พอ ม.ปลาย ที่ย้ายมาโรงเรียนสหฯ ก็ exposed สู่เพศอื่นๆ มากขึ้น พอมาช่วงมหาลัยก็ยิ่ง exposed สู่สิ่งอื่นๆ มากขึ้นอีก เราเริ่มกลับมาแต่งตัวช่วงมหาลัย เริ่มคิดว่าตัวเองสวยก็ช่วงมหาลัย

“เห็นบาง Discord ใน Twitter ที่พูดถึงว่า ‘บางคนดูเป็นไบฯ ไม่จริง เพราะเคยมีแต่แฟนผู้ชาย ไม่เคยมีแฟนผู้หญิง’ แต่เราคิดว่ามันไม่เกี่ยว เพราะว่าเราสามารถ Spark Joy กับใครก็ได้ มันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ตอนนี้เรามีแฟนเป็นผู้ชายอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเลือกเป็นแฟนกับคนนี้เพราะเขาเป็นผู้ชาย เราก็ยังโอเคกับทุกเพศ

“การเริ่มคอสเพลย์ออกสื่อครั้งแรกที่โรงเรียนหญิงล้วนวันนั้น เป็นเหมือนประตูบานแรกให้เราได้เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจำเป็นต้องแต่งตัวตาม ‘บรรทัดฐาน’ ของสังคมที่มีผลต่อรูปลักษณ์ของเพศต่างๆ จริงหรอวะ ทำไมเราทำสิ่งที่มีความสุขแล้วโดน backlash ซึ่งใช้เวลานานหลายปีกว่าจะกล้าแต่งตัวแบบที่เราต้องการจริงๆ”

‍

เอมี่ (@falloutamy)  เรียนจบจากนิเทศน์ศิลป์ได้ราว 3 ปี ปัจจุบันเป็นพนักงานกราฟิกในบริษัทแห่งหนึ่ง และนิยามตัวเองเป็น Pansexual

ไม่มีอยู่จริง เพ้อเจ้อ

“เราไม่ชอบร่างกายตัวเองตั้งแต่ช่วง ม.ต้น ที่ฮอร์โมนจะเปลี่ยนผ่านสู่วัยรุ่น มันจะมีหน้าอก มีประจำเดือน พอเข้า ม.ปลายมันเริ่มปวดท้อง เริ่มมีความรู้สึกว่าเมนเป็นของผู้หญิงและเราต้องพยายามผลักให้ร่างกายตัวเองออกจากผู้หญิงให้ได้มากที่สุด แต่เราดันมีเมน เราดันมีหน้าอกที่ก็ไม่ได้มีเยอะนะ เราไม่กล้ามองอวัยวะเพศตัวเอง อาบน้ำคืออาบให้ผ่านไปไวๆ เกลียดร่างกายตัวเอง เคยส่องกระจกแล้วร้องไห้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ซัฟเฟอร์ เพราะต้องอยู่ผ่านสิ่งที่สังคมบอกว่านี่คือผู้หญิง พอรู้จักกับ Non-Binary เราก็ให้อภัยร่างกายตัวเองมากขึ้น ยิ่งทำงานเรื่องประจำเดือน ทำงานเกี่ยวกับเมนด้วย มันก็ยิ่งให้อภัยตัวเองมากขึ้น จะมีบางช่วงที่ดิ่งกลับไปว่าทำไมร่างกายฉันต้องเป็นอย่างนี้วะ มันจะเป็นฟีลสลับกัน ช่วงนี้ให้อภัยตัวเองมากขึ้น รู้สึกดีกับร่างกายตัวเอง ถามว่าอยากมีหน้าอก อยากมีประจำเดือนอยู่ไหม ก็ไม่อยากนะ อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงการแปลงเพศได้และไม่ใช่ทุกคนที่อยากแปลงเพศ เราควรเลิกตีตรากัน

“เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กผู้ชายมาตั้งแต่จำความได้ มีรูปถ่ายเป็นรูปเรายืนฉี่ เพราะว่าอยากยืนฉี่ตามพี่ชาย แต่เลิกไปเพราะว่ามันเลอะเทอะมาก ทุกครั้งที่ฉี่เสร็จต้องอาบน้ำเพราะเลอะเทอะ แต่ทุกคนรอบข้างในสังคมเด็กด้วยกันจะมองว่า เราเป็นผู้หญิง ญาติๆ ผู้ชายก็ไม่กล้าเล่นกับเราแรงๆ เพราะเห็นว่าเราเป็นผู้หญิง แต่บางทีเราก็รู้สึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกันนะ ไม่ได้ต่อต้าน

“พอประถม เริ่มโดนเพื่อนล้อว่าเป็นทอม เราไม่ชอบคำนี้เลย เรามองว่าเราเป็นเด็กผู้ชาย เราไม่ใช่ทอม พอสนิทกับเพื่อนผู้ชาย เพื่อนก็ล้ออีกว่าเป็นแฟนกัน กลายเป็นว่าต้องเข้าไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิง แล้วเราก็มีความเป็นผู้หญิง การไปอยู่กลุ่มผู้หญิงทำให้ใช้ชีวิตรอดในโรงเรียนที่มีระบบ Binary ได้

“เราชอบผู้หญิงจนกระทั่ง ม.3 ขึ้น ม.4 เรารู้สึกบางอย่างกับผู้ชายและเพศอื่นๆ ด้วย รู้สึกว่าก็น่ารักดี แต่เราจะรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ‘ทำไมกูถึงไปชอบผู้ชายวะ’ ‘กูต้องชอบแต่ผู้หญิงสิ เพราะกูเป็นทอม’ ก็อยู่กับความกดดันตัวเองจน ม.ปลาย เรียนสหฯ

“เราซัฟเฟอร์เรื่องทรงผมด้วย เราไม่ไม่ชอบไว้ผมยาว อยากซอยให้มันเท่ เพราะว่าตัดทรงติ่งหูก็อุบาทว์ ซอยผมไปก็โดนลงทัณฑ์บน แต่ยังดีที่ ม.5 - ม.6 อาจารย์ชิล เขาเข้าใจเรา ตอนนั้นเรายังซัฟเฟอร์กับความเป็นทอมที่รู้สึกบางอย่างกับผู้ชายอยู่ จนกระทั่งขึ้นมหาลัย แล้วสังคมเปิดกว้างมาก มันมีความเป็น Bisexual ความเป็นเกย์ ทุกคนเป็นตัวเอง เราไปเจอคำว่า Non-Binary ใน Facebook พอดี รู้สึกว่าโคตรใช่เลย

“หลังจากนั้น ไปรู้จัก Non-Binary คนหนึ่ง เขาก็โยงไปเรื่องการแยกกันระหว่าง Gender Expression แบบ Identity กับ Sexual Orientation เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า ถ้าคุณนิยามว่าคุณเป็นทอม คุณจะชอบผู้หญิงอย่างเดียวก็ได้ หรือคุณจะชอบทุกเพศก็ได้ เราก็เลยเป็น Non-Binary ที่เป็น Bisexual แล้วช่วงนั้นการเมืองมันคุกกรุ่นมาก เราเข้าร่วมชุมชนุมไปพูดเรื่องเพศในเรื่องการเมือง เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกัน ออกไปทาง Activist ตั้งแต่ปี 1 เรียกร้องเรื่องนี้ แล้วก็ไปร่วมกับ Non-Binary Thailand ในยุคนั้น การเคลื่อนไหวต่างๆ ส่วนใหญ่จะเถียงกับคนในเน็ต แล้วก็มีขึ้นปราศรัยบ้าง

“ทุกคนที่เป็น Non-Binary ต้องเคยโดนบอกว่า ‘ไม่มีอยู่จริง เพ้อเจ้อ’ แต่เพ้อเจ้อได้ไงก็กูยืนอยู่ตรงนี้ (หัวเราะ) คือคนที่พูดไม่เคยจินตนาการโลกที่มันไปไกลเกินกว่าสิ่งที่สังคมบอกให้ทำ เขาไม่มีจินตนาการ ซึ่งโทษเขาไม่ได้ทั้งหมด เพราะว่าเป็นเรื่องทุนนิยมด้วยที่พยายามให้คนอยู่ในกรอบมากๆ จะได้ไม่ต้องตั้งคำถามแล้วทำงานต่อไป แต่ถ้าไปอยู่ในสายเรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคหนึ่งจะมีความ Male Dominance สูงมาก เขาจะปัดให้เรากลายเป็นแค่ผู้หญิง เพราะเรามีน้ำเสียงแบบนี้ แต่พอเฟมินิสต์มีเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็พร้อมจะเข้าใจมากขึ้น

“ตอนปีหนึ่ง เรารู้สึกว่าตัวเองตรงกับคำว่า Trigender ก็คือมี Feminine Masculine และ Neutral บางวันตื่นมารู้สึกอยากแต่งตัวเป็น Feminine ก็แต่ง อยากแต่งตัวแบบ Masculine ก็แต่ง พอใกล้ๆ เรียนจบเรารู้สึกว่าตัวเองเป็น Trans-Masculine คือมีความ Masculine มากกว่า Feminine ไปแล้ว ตอนนี้ไม่ได้สบายใจกับ Feminine แต่ก็ไม่แน่นะ อาจจะเป็นวงเวียนวัฏจักรชีวิตเรา ผ่านไปอีกสัก 5 ปีอาจจะอยากกลับไปมี ความ Feminine บ้าง แต่ตอนนี้รู้สึกเป็น Trans-Masculine Non-Binary สบายใจ

‍

เมื่อสองปีก่อน บิ๊ว (@yabeautdi2) จัดแสดง ‘Secret Body’  งานศิลปะที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านร่างกายที่ไม่ใช่ Male Gaze อันลือลั่น ปัจจุบัน บิ๊วเป็นศิลปิน ช่างสัก และ Activist เขานิยามตัวเองว่าเป็น Non-Binary ที่อยากสื่อสารตัวตนผ่านศิลปะ

Glitch ของระบบ

“เราเป็น Transexual เพราะข้ามเพศ แต่ถ้าเป็นเรื่อง Gender เรารู้สึกว่าเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ผู้ชาย คือพอไม่ได้อยู่ในร่างกายผู้ชายแล้วแฮปปี้มาก ชีวิตดีขึ้นเยอะ

“เรามีญาติที่ทำ Sexual assault กับเราตั้งแต่เด็ก เราจึงมีอะไรกับผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร เขาให้เรามีกับเขาเรื่อยๆ ญาติเราคนนั้นเคยมาถามว่าเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วมันก็บอกว่า ‘อย่าเป็นผู้หญิงนะ อย่าเป็นผู้หญิงเด็ดขาด’ คือมันเป็นญาติที่โตกว่าเราประมาณ 6-7 ปี มันเป็น Alpha มาก ลุงเราที่เป็นพ่อมันก็โคตร Alpha เราเลยคิดว่านั่นอาจจะเป็นส่วนที่ทำให้เรากดความเป็น Feminine ที่มีอยู่มาตลอด

“จน ป.4 ตอนนั้นรู้ตัวว่า ฉันชอบผู้ชาย ฉันชอบจู๋ ฉันเป็นเกย์มาตลอด แต่ประเด็นคือ เรามาทรานส์ได้เพราะว่าเราไปเป็นทหาร คนที่นั่นจะมองกะเทยเป็นผู้หญิง เป็นนางฟ้า เป็นเจ๊ แล้วเรารู้สึกว่าเราเป็นผู้หญิง ชีวิตเราไม่เหมือนผู้ชายในค่ายทั่วไป พอเราปลดออกมาเราก็ไปบวชพระ ซึ่งเป็นสังคมผู้ชายสุดๆ พอบวชพระได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เรารู้สึกแบบ ‘โอ๊ย หรือฉันไม่ใช่ผู้ชาย’ เรารีบสึกออกมา สึกมาวันแรกก็ดิ่งไปทรานส์เลย วันนั้นคิ้วก็ไม่มี ผมก็ไม่มี

“ตอนที่ทรานส์ครบ 1 ปีแล้วไปตรวจฮอร์โมน พี่เขาก็พูดว่า ‘เราคงไม่อยากเป็นกึ่งๆ เนาะ’ เราก็ไม่รู้อะ ‘หนูอาจจะอยากเป็นกึ่งๆ ก็ได้’ เพราะมาตรฐานความเป็นกะเทยไทย มันต้องเป็นผู้หญิง แต่ว่าผู้หญิงรอบตัวเราบางคนก็ไม่มีนม นึกออกป่ะ ผู้หญิงปกติไม่ได้เป็นเหมือนตุ๊กตา คนส่วนใหญ่จะคาดหวังว่าถ้าข้ามเพศแล้วจะต้องเป็นตรงกับ Binary มันเหนื่อย แต่ตอนนี้อยากทำนมนะ เพราะว่าใส่เสื้อในแล้วฟิน ชอบหน่มน้มตั้งแต่เด็กแหละ

“พอคิดถึงชีวิตทรานส์ เรารู้สึกว่ามีแต่เรื่องดีๆ มีแค่เรื่องเงินในการซื้อฮอร์โมน ซึ่งไม่ถูก เพราะประเทศยุโรปมี Health Care ที่ให้ฮอร์โมนฟรี แต่ Transphobe หนักกว่านี้ แต่ประเทศเราทรานส์อยู่ได้ แต่ว่าไม่มี Health Care อีกเรื่องคือดูดบุหรี่ไม่ได้ มันเสี่ยงหลอดเลือดอุดตัน เราเพิ่งเบาๆ มาได้ประมาณ 2 สัปดาห์ (หัวเราะ)

“เราว่าคนข้ามเพศในไทยยึดโยงกับอุตสาหกรรมความงามเยอะ เคยคุยกับเพื่อนในฝรั่งเศส เควียร์ซีนที่นั่นมีความต่อต้านระบบ แต่ที่ไทยมีความคล้อยตามกับระบบ เช่น เวทีนางงาม ทรานส์หลายๆ คนจะไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่อยากพยายามเหมือนผู้หญิงมากกว่านี้ เราไม่อยากเป็นหนึ่งในขบวน ที่จริงผู้หญิงไม่ต้องมีนม ไม่ต้องมีพ่อก็ได้ ในไทยสิ่งนี้โคตรจะกดผู้หญิงสุดๆ มันหดหู่

“ที่เรารู้สึกว่าเราไม่เป็นเพศอะไรสักอย่าง อาจเพราะเราเชื่อว่า มันคงเป็นชาติที่เราเป็นกะเทย ชาติอื่นเราอาจจะไม่ได้เป็น เราเคยสงสัยนะ เคยนั่งดูนั่งอ่านพวกอับราฮัม (ศาสดาพยากรณ์ของศาสนากลุ่มอับราฮัม) แล้วคิดว่า ‘หรือมันบาปจริงวะ’ เพราะเราข้ามเพศอ่ะ คือระบบ Gender Binary บอกว่ามี 2 เพศ แต่พวกเราข้าม มันเป็น Glitch ของระบบ แต่ก็คิดว่าไม่ เพราะฉันมีความสุขมาก ต่อให้เป็น Glitch เราก็คิดว่า ‘กูอาจจะไม่ใช่มนุษย์ปกติมั้ง’ เพราะเราอยู่ในยุคพ้นมนุษย์ (Posthuman) ก็คนมันทรานส์ไได้แล้วอ่ะ

“ตอนนี้เรามีความสุข การใส่เสื้อผ้าสวยๆ มันสนุกมาก มันไม่ต้องสวยที่หมายถึง Feminine อย่างเดียว อะไรที่มันประหลาด อะไรที่ผู้ชายบอกห้ามใส่ มันสนุก มันไม่ใช่แค่เรื่อง Femininity มันเป็นเรื่อง Creativity ด้วย พอเราได้เป็นตัวเอง มันไม่ใช่ว่าเราเป็นตัวเองในฐานะผู้หญิง แต่มันเป็นตัวเองในเชิงมีอิสรภาพที่ได้แสดงออกอย่างแท้จริง ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไม่ต้องเก็บความลับกับที่บ้าน เป็นตัวเองเต็มที่ พอเป็นกะเทยก็มีงานทำด้วย  ถ้าเป็นเกย์ตอนนี้น่าจะนัดเ-็ดไปเรื่อยๆ อยู่

“ไม่นานมานี้ ตอนที่เรารู้สึกว่าเราอยากทำนม มันรู้สึก liberate เพราะตอนเด็กเราคิดว่าจะไม่ทำเด็ดขาด อีกอย่างคือทรานส์ปีแรกเราร้องไห้เยอะมาก เรามีความสุขมากที่ร้องไห้ได้ เรา sensitive มากขึ้น แล้วเราก็มีความสุขที่เรา sensitive”

‍

กาหีบ (@garheep) เป็นนักศึกษาคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา นางแบบฟรีแลนซ์ และ Transexual

อทวิลักษ์ อนัตตา กรรม

“เราเป็นเกย์แมน  ตอนเด็กๆ ชอบผู้หญิงนะ แอบชอบเพื่อนอนุบาล เราไปหอมแก้มเขาเลย แล้วเขาก็ต่อยเรา ตลกดี (หัวเราะ) ต่อมาไปรู้จัก Yaoi มังงะญี่ปุ่นชาย-ชาย แต่ยังบอกตัวเองว่า ‘ฉันไม่ใช่เกย์สักหน่อย’ แต่ก็ดูต่อไปเรื่อยๆ ประถมปลายเริ่มรู้ตัวว่าชอบผู้ชาย จน ม.1 ก็มาคบผู้ชาย แต่นานๆ ทีจะชอบผู้หญิง เราเคยชอบผู้หญิงคนนึงตอนมหาลัย เขาเป็นเลสเบี้ยน เขาก็รู้นะ เหมือนจะชอบเราด้วย แต่ส่วนใหญ่ชอบผู้ชายมากกว่า เรียกเราว่าเกย์น่าจะง่ายดี คือเราจะมี Type ผู้หญิงที่เฉพาะมากๆ แล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะเป็น Sapphic ไม่ก็เลสเบี้ยนที่แต่งตัวเท่ๆ

“เราไม่ค่อยรู้จักเกย์ซีนในไทย เพราะไม่ได้เข้าสังคมกับเขา (นิ่งคิด)  ในแง่ Gender มันจะมีความต้องคล้อยตามกันถูกป่ะ มันคือ Beauty Standard ของเกย์อีกที แต่เราไม่ได้มีข้อสังเกตเยอะขนาดนั้น เพราะชีวิตไม่ได้ไปอยู่กับกลุ่มเกย์ เรามีเพื่อนเกย์น้อย ส่วนมากจะมีเพื่อนเป็นทรานส์ เป็น Non-Binary ซึ่งมันเป็นวัฒนธรรมที่ย่อยลงมาอีก 

“เราเคยคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับเควียร์ซีน  คำว่า ‘Queer’ เป็นศัพท์ตะวันตกที่เป็นคำไม่ดี แล้วมันก็ฉกฉวยความหมายกันไปมาในตะวันตก พอมาเป็นบริบทไทยมันก็จะอีกแบบ มันมีความคลุมเครือกว่านั้น

“เกย์ กะเทย หรือตุ๊ดมันค่อนข้างเบลอในบริบทของไทย คนที่เขาศึกษา Gender Study เยอะๆ ซึ่งมีพื้นฐานจากตะวันตก สุดท้ายมันไม่สามารถจะปรับใช้ทั้งหมดได้กับสังคมไทย เพราะสังคมไทยไม่มีวิวัฒนาการทางเพศมาเหมือนกับตะวันตก มันไม่ใช่แค่ Gender Study แต่คุณต้องศึกษา Asia Study แบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

“หรือจริงๆ ก็เป็นเพราะกรรม แต่กรรมไม่ได้หมายถึงความเป็นลบหรือบวก แต่หมายถึงว่า ในแง่หนึ่ง คุณจะชอบผู้ชายหรือจะชอบผู้หญิง มันเป็นแค่เศษกรรมที่เราต้องมารับเฉยๆ มันไม่ได้มีอะไร สุดท้ายต้องมาอยู่กับปัจจุบัน เราเป็นแค่ร่าง ส่วน Gender เป็นแค่ทัศนะบางๆ ที่เราต้องจับ ต้องพยายามไปยึด ในแง่หนึ่งมันก็ดีที่ให้ชื่อให้คำนิยาม (Naming) แต่อีกด้าน การที่ยึดติดกับชื่อ มันกลายเป็นว่าเรายึดมันเป็นอัตลักษณ์ของตัวตน เราอาจเกิดมาเพื่อเตรียมตัวตายด้วยซ้ำ อย่าไปให้สาระและหาแก่นขนาดนั้น มีการศึกษาเรื่องนี้ก็ดี เป็นวิวัฒนาการขององค์ความรู้ของมนุษยชาติ แต่อาจเพราะเราเรียนปรัชญา สุดท้ายปรัชญาก็ไม่ได้มีคำตอบให้อะไร ไม่มีใครรู้หรอก เพราะคนรู้จริงๆ คือพระพุทธเจ้า โอเคป่ะ (หัวเราะ)

“ถ้าทุกอย่างเป็นอนัตตามันก็ต้องไม่มีถูกผิด คงเป็นไปตามของมันเฉยๆ เพราะการจะหลุดพ้นจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำดีหรือทำชั่ว มันต้องเกินสิ่งนั้นไป ต้องหลุดจากทั้งสองอย่าง มันต้อง ‘อทวิลักษ์’ ยากจัง ซึ่งคนก็บอกนะ สุดท้ายอนัตตาจริงๆ มันไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นแค่ Non-Self หรืออนัตตาจริงๆ ก็คืออัตตา ถ้าเราขยายอัตตาไปจนไม่มีเรา มันก็คืออนัตตาที่อัตตาขยายใหญ่พอ หลอนเนาะ (หัวเราะ)”

‍

ยูโร เพิ่งเรียนจบศิลปศาสตร์ สาขาปรัชญา ขณะนี้เป็นพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป และทำเพจ sapphostirical ชิทโพสต์หวีดเวียร์ดถึงจัยวัยรุ่น

Retrospective

“เรานิยามตัวเองว่าเป็น Aromantic Asexual ซึ่งรู้จักคำว่า Asexual มาตั้งแต่ ม.ต้น เพราะเห็นเพื่อนใช้ แต่ไม่แน่ใจว่ามันเข้ากับตัวเองตอนไหน เหมือนรู้จักแล้ว สักพักถึงค่อยๆ ใช้คำนี้ตามธรรมชาติ แต่ถ้า Aromantic คือเพิ่งมาใช้ตอนอายุ 17-18 ประมาณ ม.ปลาย เราไปชอบคนหนึ่ง แล้วก็มานั่งทบทวนความรู้สึกตัวเองว่าที่ชอบเขามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แล้วก็มาดูที่คำว่า Aromantic จึงรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ เพราะเวลาเราชอบคน เราจะไม่ได้แบ่งว่าเป็นความรู้สึกชอบแบบไหน ส่วนใหญ่เราก็อยากสนิทกับเขา อยากรู้จักเขามากขึ้น อยากมีเขาในชีวิตต่อไป

“ในขณะเดียวกัน เราจะชอบตั้งคำถามกับอะไรที่มีในสังคมบ่อยๆ เช่น ทำไมละครมันต้องมีแต่ละครที่เป็นเรื่องรัก ทำไมต้องมีเพลงรัก ทำไมทุกคนต้องทำเหมือนว่าการเป็นคนโสด การอยู่คนเดียวในชีวิตเป็นอะไรที่เศร้ามาก แล้วการมีความรักโรแมนติกเป็นเหมือนจุดสูงสุดในชีวิต คนเราต้องแต่งงาน มีลูก ต้องอยู่กันเป็นครอบครัวอย่างมีความสุข ซึ่งรู้สึก เอ๊ะๆ แต่ก่อนไม่เคยสงสัย จนกระทั่งไปชอบคนหนึ่งเข้า แล้วก็มาตกลงกับตัวเองว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกแบบนี้ (Aromantic)

“สุดท้ายมันจะย้อนกลับไปคำถามที่ว่า คนๆ หนึ่งนิยามประเภทของความสัมพันธ์หรือสิ่งที่ตัวเองรู้สึกยังไง แล้วสำหรับเรามันไม่มีคำว่าโรแมนติกหรือคำอื่นอยู่ในนั้นเลย แต่ไม่ใช่ว่าคนที่เป็น Aromantic จะมีแฟนไม่ได้ มีได้แล้วแต่จะตกลงกัน

“คำถามคือทำไมคนถึงมองว่าแฟนมันลึกซึ้งกว่าเพื่อนล่ะ คุณจะเป็น Aromantic หรือไม่ก็ตาม ความสัมพันธ์ก็มีหลายแบบ เราอาจจะมีนิยามว่า Platonic Relationship ซึ่งเป็นความรักแบบ Non-Sexual มัน Non-Romantic แต่มันพิเศษ มันเป็นการทำให้ความสัมพันธ์นั้นเควียร์ เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่อยู่นอกกรอบของความเป็นเพื่อนหรือว่าแฟนในแบบที่สังคมเข้าใจกัน หรือคุณจะมีทั้งแฟนแล้วก็มี Queer Platonic Relationship ก็ได้เหมือนกัน

“ในฐานะคนทำเพจ เรารู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบที่ต้องบอกคนว่าไม่จำเป็นต้องใช้คำเหล่านี้ เพราะมัน Specific มากจนจำไม่หมด อย่างที่เราบอก คนที่มีแรงดึงดูดทางเพศเฉพาะกับตัวละคร หรือคนที่แอบชอบคนอื่นและเขารักเราตอบ แต่แรงดึงดูดจะหายไป คนพวกนั้นก็มีเยอะมากและละเอียดมาก เพราะมันเป็นภาษา

“การมีชื่อ มีคำ ทำให้มีอำนาจมากกว่าการอธิบายเป็นประโยคว่า ‘ฉันชอบคนแต่ชอบแบบนี้’ เพราะการบอกว่า ‘ฉันเป็น Straight เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง’ มันเข้าใจได้ทันที การมีคำจึงสำคัญ ซึ่งบางทีก็อาจยิบย่อยเกินไป จนดูเป็นคน ‘ไม่ค่อยแตะหญ้า’ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเข้าใจหรือบังคับให้ทุกคนเข้าใจ

“สำหรับเรา การนิยามคือ Retrospective คือนำคำไปตีความประสบการณ์ที่ผ่านมา ดังนั้นมันถูกต้องในตอนนั้นที่เรากำลังรู้สึกอยู่แล้ว ไม่มีทางผิดไปจากไหน มันไม่ใช่ว่าไม่เคยเป็น ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ เรารู้สึกถึงได้ใช้คำนี้ และมันก็เปลี่ยนได้ ซึ่งเราว่ามันเกี่ยวข้องกับสังคมด้วย พอเป็นประเทศไทย คำส่วนใหญ่เป็นคำที่คนอื่นมาตีตรา มาโยนให้เรา เช่น ‘เป็นกะเทยหรือเปล่า เป็นทอมหรือเปล่า’ เราจึงติดอยู่ใน mindset ที่ว่าคำเหล่านี้เป็นคำที่คนอื่นต้องให้มา เราไม่มีสิทธิ์เลือกใช้เอง แต่จริงๆ แล้วเมื่อเป็นเรื่อง Gender มันคือ Self-Determination เรามีสิทธิ์เลือกคำที่ตัวเองต้องการ เลือกชื่อที่ตัวเองต้องการได้

“ยากที่จะบอกว่านิยามสำคัญหรือไม่สำคัญ ถ้าเป็นคนที่เข้าใจก็จะเข้าใจว่ามันสำคัญในแง่ที่ทำให้คนระบุตัวเองได้ ทำให้คนรวมกันได้ ทำให้เห็นว่าเขามีตัวตนและมีคนที่แชร์ประสบการณ์บางอย่างร่วมกัน แต่ในขณะเดียวกันไม่สำคัญ ในแง่ส่วนตัวคือ คุณไม่จำเป็นต้องนิยามก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหาอะไรมาใส่ตัวเองก็ได้ บางทีก็พูดยาก เพราะเมื่อสังคมรับสารไป ก็รับไปได้แค่นั้น เช่น ‘LGBTQ+’ มีตัวอักษรต้องมาท่องและบางทีก็กลายเป็นการสอดส่องกันเองในคอมมูนิตี้

“สุดท้ายเราจึงรู้สึกว่าเพจเราไม่ได้เป็นแค่เฉพาะสำหรับคนในชุมชน เพราะหลายเรื่องก็เหมือนเป็นการรื้อสร้างบรรทัดฐานที่มีอยู่ในสังคม เช่น ค่านิยมเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ ซึ่งไม่ได้ทำลายแค่คนที่เป็น AroAce แต่มันทำลายทุกคน”

‍

เห็ดเขียว เป็นหนึ่งในเป็นแอดมินเพจ AroAce-clusionist: Aromantic & Asexual Exist ที่นิยามตัวเองว่าเป็น AroAce

‍

สิ่งสวยงาม

“เรายังไม่รู้ตั้งแต่เด็กหรอก เพราะตอนแรกเราแค่อยากแต่งตัว ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นชายหรือหญิง แต่ถามว่าชอบได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงไหม ก็ต้องตอบว่าชอบผู้ชาย แต่เราชอบแต่งตัว บางวันก็เป็นผู้หญิง บางวันก็เป็นผู้ชาย แต่งคอร์เซ็ตได้ ไม่ได้ระบุว่าวันนี้จะต้องเป็นเพศหญิง หรือจะต้องไปเสริมนมเพื่อข้ามเพศ

“เราไม่ได้นิยามว่าเป็นอะไรเลยนะ บางคนให้คำจำกัดความว่าอาจจะเป็นกะเทย หรือบางวันก็อาจจะเรียกเราว่าเป็นเกย์ เป็นแม่ แล้วแต่วัน ตามการแต่งตัวหรือภาพลักษณ์ที่โชว์ให้เขาเห็น เรารู้สึกว่าจะเป็นฟีล Drag Queen มากกว่า

“คือเรารู้สึกว่า ‘ฉันเป็นอะไรก็ได้’ ถ้าเขามองว่าเราเป็นกะเทยก็ดีไป มองว่าเราเป็นสิ่งสวยงามก็พอแล้ว บอกว่าเราเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นกะเทย เป็นเกย์ หรือบอกเป็นอะไรก็ได้ ฉันไม่รู้สึกแปลกแยก เราไม่ได้มีความคิดอยากแปลงเพศ หมายถึงว่า ถ้าแต่งหญิงก็ใส่นมปลอม หรือแต่งให้มันเป็นฟีลข้ามเพศมากที่สุด ให้ดูเป็นผู้หญิง หรือบางวันถ้าแต่งก็แต่งชายปกติเลย แล้วแต่ฟีล แบบยูนิเซ็กส์ประมาณนั้น หรือบางวันเป็นผู้ชาย แต่เราแต่งตัวเป็น Feminine จ๋าไปเลยก็มี

“พอเราโชว์ในตัวตนของเราไปอย่างนี้ ถามว่ามันต้องมีคนชอบไหม ก็ต้องมี และมีคนไม่ชอบไหม ก็ต้องมีบ้าง แต่เราเลือกเก็บสิ่งดีๆ ไว้ดีกว่า ถ้าใครไม่ชอบก็ปล่อยให้เขาไม่ชอบไป เราเป็นตัวตนของเรา เราเป็นของตัวเองดีที่สุด 

“บางคนในประเทศไทยยังคิดว่า แค่แต่งหญิงก็เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย บางคนยังไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามันยังมีเพศนี้อยู่ บางคนสนใจแค่ว่าเป็นชายหรือเป็นเพศหญิง จำกัดแค่ 2 เพศ บางทียังยอมรับเพศที่ 3 ไม่ได้ด้วยซ้ำ

“(ในสังคมเกย์) มีเกย์รุกจ๋า เกย์ผู้ชายจ๋า หรือมีเกย์ที่เป็นตัวแม่ แต่ยังไม่อยากแต่งหญิง แต่ก็ออกควีนๆ หน่อย บางคนก็เหมือนเป็นเกย์ที่ได้ทั้ง 2 อย่าง คือยังมีความซับซ้อน เอาง่ายๆ เพศมันลื่นไหลมากในมุมของชั้น บางทีผู้ชายยังอยากลองกับกะเทย มันลื่นไหลมากเธอ อยากให้ (สังคม) เปิดกว้างมากขึ้น อยากให้ทุกคนออกมาเป็นตัวเองเพิ่มมากขึ้น ไม่ต้องอยู่แค่ในกรอบ หรือในอุดมคติที่เขาตั้งไว้”

‍

เปรม (@pprempp) เป็นคนนครพนมที่อาศัยในกรุงเทพฯ และเป็นสไตลิสต์ฟรีแลนซ์วัย 27 ปี เธอเพิ่งทำศัลยกรรมแบบ Unisex เน้นความนุ่มละมุนของร่างกาย สอดคล้องกับสไตล์การแต่งตัวที่ได้ทั้งชายและหญิง

Self Love

“เรารู้ตัวว่าชอบผู้หญิงตั้งแต่สมัยประถม ตอนแรกก็รู้สึกว่าตัวเองแปลก เพราะเพื่อนๆ พูดถึงแต่ผู้ชาย แต่เราไม่อิน ไม่ได้สนใจเรื่องผู้ชาย เพราะชอบอยู่ใกล้กับผู้หญิงที่เป็นเพื่อนสนิท พอมันมากกว่าคนอื่นปกติ ก็เริ่มรู้แล้วว่านี่มันแปลกๆ ทำไมรู้สึกฟรุ้งฟริ้งในท้อง ไม่เหมือนเพื่อนทั่วไป เป็นความรู้สึกแรกที่ทำให้รู้ว่าฉันอาจจะแตกต่าง ไม่ได้ตกใจนะ เป็นความรู้สึกที่มันสั่นเวลาชอบใครสักคน ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากกว่ารู้สึกละอาย

“มารู้สึกจริงๆ คือตอนที่ชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเพื่อนสนิท มีความสนิทกันมากเกินไปจนแม่ของเขาไม่โอเค เราโดนบอกว่าเป็น Bad Influence และห้ามมายุ่งกับเรา คือโดนจับแยกกัน ตอนนั้นถึงรู้ว่าสิ่งที่เราทำอาจจะไม่โอเค อาจจะผิดปกติ เริ่มรู้ว่าความรู้สึกที่เรามีให้กับผู้หญิงอาจเป็นเรื่องต้องห้ามหรือเป็นรักที่อาจไม่ได้ราบรื่นนัก

“ตอนนั้นยังเด็กมาก เราอยู่ ป.6 เรารู้สึกเศร้า เหงาหงอย และรู้สึกว่าทำอะไรผิดกันนะ  ทำไมเราถึงโดนจับแยก ทำไมความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันทั้งคู่ กลับโดนผู้ใหญ่หรือคนรอบข้างบอกว่าไม่โอเค ก็กลับมาถามตัวเองว่าทำไมเราถึงไม่เหมือนคนอื่น ทำไมความรู้สึกรัก ความรู้สึกชอบที่เรามี มันก็เหมือนกับเพื่อนๆ ที่เขาชอบผู้ชายกัน เหมือนกันเป๊ะเลย แต่ทำไมของเรามันกลายเป็นสิ่งต้องห้าม

“ถามว่าข้ามผ่านได้ยังไง ต้องบอกว่าเราเป็นเด็กเปรี้ยวๆ คนหนึ่ง เศร้าก็เศร้าได้แป๊บเดียว หลังจากนั้น ด้วยความเป็นคนที่ทำอะไรด้วยอารมณ์ความรู้สึก ก็จะมีความต่อต้านลึกๆ แต่ด้วยความเป็นเด็ก จะไม่กล้าเถียง ก็คิดตามเขาว่าสงสัยมันจะผิดจริง กับความสัมพันธ์ตอนนั้นก็ Move on เลย ไม่ได้เล่นด้วยกัน ยอมแยกกัน สุดท้ายเราก็ไปมีกิ๊กหรือแฟนอีกเยอะแยะมากมาย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เป็นทอม ไม่ได้แคร์ เพราะรู้สึกว่า ฉันกำลัง explore ความรู้สึกรัก ความรู้สึกชอบของตัวเอง

“ตอน explore มันรู้สึกซาบซ่า (หัวเราะ) ได้มีจูบแรก ได้มีความสัมพันธ์แรกๆ ได้ส่งจดหมายแรกๆ มันเป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่ง เราเชื่อว่ามันเหมือนกับความสัมพันธ์ของชายหญิงเลย มันเหมือนกันเป๊ะ เราแอบไปเฝ้าดูเขา แอบขับมอเตอร์ไซค์ตามเขา แต่ต่างกันตรงที่มันอาจจะนุ่มนวลขึ้น เพราะเราเป็นผู้หญิงทั้งคู่

“สำหรับเรา ‘Being Queer’ คือการยอมรับตัวตนของตัวเองให้ได้ และรักมันโดยไม่สนใจว่าสังคมจะพูดอย่างไร มันคือความสัมพันธ์ของเรากับตัวเอง แน่นอนว่าได้รับการยอมรับมากขึ้นในทุกวันนี้ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้มันเคยเป็นสิ่งต้องห้ามมาก่อน มันเป็น Journey ที่ต้องเติบโตมาด้วยความสับสนวุ่นวายในหัว และการทะเลาะกับตัวเองว่าทำไมฉันไม่เป็นเหมือนเพื่อน ทะเลาะกับครอบครัวว่าทำไมคุยเรื่องความรักกันไม่ได้ ทำไมเราพูดกับแม่ตรงๆ ไม่ได้ว่าแฟนที่เราคบอยู่เป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น ไหนจะสังคมที่บอกให้เราต้องเติบโตไปมีผัวมีลูก Being Queer คือการที่เรามี Self Love ให้กับตัวเองว่า ‘This is me, And you should learn to love me as I am’

“โดยเฉพาะยิ่งเราเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งสามารถสร้างอะไรหลายๆ อย่างให้กับคอมมูนิตี้ได้ เพราะเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่กล้าออกมาหรือไม่กล้าเป็นตัวเอง  เพราะกลัวจะ offend ใครบางคน หรือคนจะไม่เข้าใจ แค่เราก้าวออกมาแล้วช่วยเหลือกันในการบอกว่า เฮ้ย มันโอเคนะ เราไม่จำเป็นต้องยึดอยู่กับการที่มีมาตรฐานแบบใดแบบหนึ่ง สีสันน่ะ มันสวยงาม”

‍

SILVY หรือ ซิลวี่—ภาวิดา มอริจจิ ศิลปินเพลงป๊อปที่เพิ่งฝากการแสดงในโชว์ ‘in the minor of everything’ ส่วนของเทศกาล H0M0HAUS 2025 และเธอยังตั้งใจหาอะไรใหม่ๆ ทำในปีนี้

‍

“กฎมันไม่ตายตัวหรอกน่า”

‍

เฉกเช่นกฎการแต่งตัววันจันทร์ที่ห้ามใส่กางเกงวอร์มของแก๊งพลาสติกใน Mean Girls (2004) กฎดังกล่าวเป็นสิ่งที่ “ไม่ตายตัว” ในความเห็นของเรจิน่า แต่มันกลับถูกบังคับใช้ราวกับว่าละเมิดไม่ได้เมื่อเคดี้ เกรทเชน และคาเรนเลือกยึดถือมันไว้ จนเรจิน่าในคราบกางเกงวอร์มกำมะหยี่สีม่วงต้องระหกระเหินไปนั่งกินข้าวกลางวันที่อื่น ความขัดแย้งในตัวเองของเรจิน่าที่เป็นทั้งคนออกกฎและแหกกฎซะเอง อาจเป็นสิ่งที่บอกเราเป็นนัยๆ ว่า อำนาจที่ทั้งสร้างและรักษากฎไว้เป็นสิ่งที่มีความขัดแย้งในตัวเองเสมอ และมันกระทำกับทุกคนอย่างไม่เลือกข้าง กฎกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและควบคุมแก๊งพลาสติกอย่างอยู่หมัด แต่ท้ายสุด เรจิน่าก็เลือกได้ว่าเธอจะใส่กางเกงหรือกระโปรงในวันจันทร์ และหากเราสังเกตดีๆ แก๊งพลาสติกนี้เองที่เป็นสิ่ง ‘แปลก’ ในสังคมไฮสคูล

มองเผินๆ ฉาก ‘กฎมันไม่ตายตัวหรอกน่า’ มีความคล้ายคลึงกับหัวใจของทฤษฎีเควียร์ (Queer Theory) ที่มุ่งท้าทายบรรทัดฐานและสารัตถะของเพศภาวะแบบสองขั้ว (Binary) ซึ่งผูกติดกับวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีเพียงเพศชาย-หญิง รักต่างเพศ-รักร่วมเพศ รุก-รับ แบบแผน (กฎแต่งตัววันจันทร์) - สัญชาตญาณ (ความไม่ตายตัวของกฎ) และแน่นอนว่าในทางทฤษฎี มันเป็นทฤษฎีที่ไม่ต้องการคำนิยามตายตัว ขณะที่ในทางการเมือง มันต้องการแหกขนบและเอื้อมไปแตะโลกนอกกรอบอยู่เสมอ แต่ข้อโต้แย้งสำคัญคือ ทฤษฎีเควียร์ยังคงยึดติดกับร่างกาย หมกมุ่นกับอุดมคติของเพศภาวะและเพศวิถีนอกขนบ และคิดบนฐานของความจริงในอดีต ดังนั้น กระแสหลังเควียร์ (Post-queer) และการถอนรากอาณานิคมสังคมวิทยาสายเควียร์ (Decolonising queering sociology) จึงพยายามก้าวข้ามข้อจำกัดของการอธิบายร่างกายที่ผูกติดไว้กับประสบการณ์ส่วนตัว

Peter A. Jackson (1956-ปัจจุบัน) เสนอว่า กระแสเควียร์ระดับโลก (global queering) ไม่ได้สะท้อนว่าโลกาภิวัตน์หลอมโลกทั้งใบเข้าด้วยกันผ่านอัตลักษณ์ที่นิยามด้วยภาษาตะวันตก แต่อัตลักษณ์กลับถูกตีความและนำเสนอด้วยบริบทที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม กระแสเควียร์ไม่ได้หมายถึงการถูกครอบงำและมีศูนย์กลางเฉพาะโลกตะวันตก (โดยเฉพาะสหรัฐฯ) และคนข้ามเพศชาวเอเชียมีเพศภาวะที่แตกต่างจากทั้งวัฒนธรรมเควียร์ตะวันตกและสภาวะก่อนสมัยใหม่ของสังคมตัวเอง และที่สำคัญ กระแสเควียร์ในไทยเกิดขึ้นก่อนยุคโลกาภิวัตน์ในช่วงหลังสงครามเย็นซะอีก ข้อเกตของ Peter A. Jackson กำลังบอกเราว่า เพศในสังคมเอเชียมีความยืดหยุ่น ปรับตัว ไม่ได้ถูกครอบงำและไม่ได้เดินตามรอยเท้าของประวัติศาตร์เควียร์ตะวันตกเพียงอย่างเดียว แต่กำลังสร้างพื้นที่ใหม่ๆ จากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่มีความเฉพาะตัวเป็นของตนเอง

มุมมองข้างต้นอาจสะท้อนได้จากภาพลักษณ์เสรีภาพทางเพศในสหรัฐฯ ที่กำลังสั่นคลอนภายหลัง Donald Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ทรัมป์ดำเนินนโยบายที่ละเมิดสิทธิกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งห้ามคนข้ามเพศเข้ารับราชการทหารและตัดงบสนับสนุนการรับฮอร์โมนของเด็กและเยาวชน รวมถึงตัดงบสนับสนุน USAID หน่วยงานด้านการช่วยเหลือต่างชาติของสหรัฐฯ จนต้องปิดตัวลงในที่สุด

ขณะเดียวกัน ไกลออกไปนอกดินแดนแห่งเสรีภาพ ตุลาคม 2024 ศาสสูงสุดในเนปาล ให้การรับรอง Rukshana Kapali นักเคลื่อนไหวและนักศึกษาผู้หญิงข้ามเพศว่าเป็นผู้หญิง แม้จะมีผลต่อตัวเธอคนเดียว แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในอนาคต

มิถุนายน 2025 ศาลสูงสุดในรัฐอานธรประเทศของอินเดียตัดสินว่าอัตลักษณ์ทางเพศไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสืบพันธุ์ และยืนยันว่าผู้หญิงข้ามเพศมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเหมือนที่ผู้หญิงทั่วไปได้รับ คำยืนยันทางกฎหมายนี้เป็นหนึ่งในความพยายามแก้ไขร่องรอยของอังกฤษสมัยอาณานิคมอย่างกฎหมาย Criminal Tribes Act (1871) ที่ทำให้ Hijra หรือกลุ่มคนข้ามเพศ/คนที่ไม่ใช่ชายหญิง ถูกเลือกปฏิบัติและเป็นอาชญากรเพียงเพราะมีเพศวิถีเบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานเพศของจักรวรรดิอังกฤษ แม้กฎหมายดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 1952 แต่ทั้ง Hijra และชาติพันธุ์บางกลุ่มยังคงถูกเลือกปฏิบัติในอินเดีย

เพราะฉะนั้น แม้ยังไม่สามารถพูดได้ว่าการเลือกปฏิบัติทางเพศสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่อย่างน้อยๆ เราสามารถกล่าวได้ว่า เส้นทางของการโอบรับความแตกต่างหลากหลายก็ไม่เป็นหมัน  

ท้ายสุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีเควียร์บนหน้ากระดาษ หรือประสบการณ์ของเราในชีวิตประจำวัน ‘เพศ’ เป็นสิ่งที่มีข้อโต้แย้งมากมาย มีหลายเรื่องให้ถกเถียง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนจบอันคมคายในหนังสือ Gender Trouble (1990) ของนักวิชาการสายเควียร์อย่าง Judith Butler (1956-ปัจจุบัน) ชี้ให้เห็นว่าคนเราสามารถทำลายวาทกรรมกระแสหลักและพัฒนาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ผ่านการรื้อถอน รื้อสร้าง และโต้ตอบกันไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 

“เพศสภาพ (genders) ไม่อาจเป็นทั้งความจริงหรือคำลวง ไม่อาจเป็นทั้งของจริงหรือของปลอม ไม่ใช่ทั้งสิ่งดั้งเดิมหรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง แต่ในฐานะที่เพศสภาพมักถูกมองว่า ‘น่าเชื่อถือ’ เพียงเพราะสามารถแสดงคุณลักษณะเหล่านั้นของคนเราได้  มันก็ย่อมถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่ ‘ไม่น่าเชื่อถือ’ อย่างถึงรากถึงโคนได้เช่นกัน”

‍

อ้างอิง

‍

  • ชานันท์ ยอดหงษ์. 2561. “นายใน” สมัยรัชกาลที่ ๖. พิมพ์ครั้งที 6. กรุงเทพฯ: มติชน.
  • ติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง. 2565. สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในกระแสข้ามศาสตร์. ปทุมธานี: คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • .สันติ เล็กสกุล. 2557. “ผู้ไร้เสียง” ในทัศนะของ กยทรี จักรวรที สปิวัค (Gayatri Chakravorty Spivak). MFU CONNEXION, 3(2): 1-19 
  • anthropology-concepts.sac.or.th
  • the101.world
  • lannernews.com
  • time.com
  • mygwork.com
  • historyworkshop.org.uk

‍

Read more
Interview
FOR THIS BODY TO FEEL LIKE HOME
เมื่อร่างกายคือบ้านของเรา : การข้ามเพศของ non-binary อยู่ตรงไหนในระบบการเพศแผนปัจจุบัน 
Interview
จดหมายรัก ที่โลกพึ่งได้อ่าน
เรื่องราวของความรัก อัตลักษณ์ และความเท่าเทียม จากหลากหลายเสียงของ LGBTQ+ ไทย
Interview
เมื่อลูกๆ LGBTQ+ เปิดใจคุยกับครอบครัว | EQConvo
การคุยกับครอบครัวเรื่อง ‘เพศและตัวตนของเรา’ บางทีมันเป็นมากกว่าแค่บทสนทนา แต่มันคือการ
Read more
Interview
FOR THIS BODY TO FEEL LIKE HOME
เมื่อร่างกายคือบ้านของเรา : การข้ามเพศของ non-binary อยู่ตรงไหนในระบบการเพศแผนปัจจุบัน 
Interview
จดหมายรัก ที่โลกพึ่งได้อ่าน
เรื่องราวของความรัก อัตลักษณ์ และความเท่าเทียม จากหลากหลายเสียงของ LGBTQ+ ไทย
Interview
เมื่อลูกๆ LGBTQ+ เปิดใจคุยกับครอบครัว | EQConvo
การคุยกับครอบครัวเรื่อง ‘เพศและตัวตนของเรา’ บางทีมันเป็นมากกว่าแค่บทสนทนา แต่มันคือการ
Archive
About Us
Collaborate with Us
Contact Us
Subscribe to EQ
Stay up to date with the latest stories
Thank you!
Oops! Something went wrong while submitting the form.