Menu.Menu.
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
story
Natcha M.
photographer
published
9.11.24
days-since-publication
Thai
English
Maho Rasop Festival 2024
Bangkok’s International Independent Music Festival

23-24 November ESC park, Bangkok

explore
View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

สำรวจคอมมูนิตี้การอ่าน ในวันที่ ‘ศิลปะแห่งการอ่าน’ อาจสำคัญกว่าจำนวนบรรทัดที่ได้อ่าน

จริงไหมที่การอ่านกำลังตาย? คนไทยอ่านหนังสือน้อย? หนังสือราคาแพงและการมาถึงของอีบุ๊กจะยิ่งทำให้การอ่านสั่นคลอน?

แน่นอนว่าไม่! ทิ้งวิวาทะ “คนไทยอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 8 บรรทัด” ได้เลย (ซึ่งมองนำมุมไหนก็น่ากังขากับกลุ่มตัวอย่าง วิธีวิจัย และจุดประสงค์ของผู้พูด)

แม้เราจะรู้กันอยู่แล้วว่าการอ่านมีประโยชน์ต่อจิตใจและสมอง แต่เมื่อเร็วๆ นี้ บทความ We’re All Reading Wrong ใน The Atlantic ถึงกับบอกว่า เรากำลังอ่านด้วยวิธีผิดๆ ด้วยซ้ำ เพราะเราควรอ่านออกเสียงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการอ่านมากที่สุด ทั้งยังกระตุ้นสมองส่วนความทรงจำได้ดีกว่า ถ้าเชื่อตามนี้ การอ่านคงตายตั้งแต่เราไม่ได้ถูกบังคับให้อ่านออกเสียงในวิชาภาษาไทย

ทว่าการอ่านอาจไม่ได้กำลังตาย แต่ ‘Art of reading’ หรือ ‘ศิลปะในการอ่าน’ ต่างหากที่หายใจอย่างหอบเหนื่อย เพราะการสัมผัสตัวอักษรด้วยดวงตา ค่อยๆ ละเลียดทำความเข้าใจ อ่านอย่างละเอียดในสภาพแวดล้อมที่ใช่ หรือการพยายามเข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงน้อยมาก กระบวนการนี้ต้องอาศัยระยะเวลา เป็นทักษะส่วนตัว เพราะการจะเพลิดเพลินกับวรรณกรรมหรือหนังสือสักเล่ม รวมถึงเข้าใจสารที่ผู้เขียนสื่ออกมา ถือเป็นทั้งอภิสิทธิ์และกระบวนการฝึกฝนของผู้อ่าน

ปัจจุบัน สิ่งที่น่าชื่นใจคือ ผลสำรวจของสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ และคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าคนไทยใช้เวลาในการอ่านหนังสือเฉลี่ย 113 นาที หรือเกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน แถมจำนวนผู้อ่านทุกวันยังสูงถึง 45% ขณะที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 มีคนร่วมงานกว่า 1.4 ล้านคน และมียอดขายถึง 480 ล้านบาท

แต่ปัญหาในสังคมเราคือ เราหมกมุ่นกับไม่กี่คำถาม เช่น ทำไมคนอ่านหนังสือน้อย (จนต้องมีอะไรมาพิสูจน์เสมอ) หรือหนังสือปกใหม่มีราคาไม่เป็นมิตร โดยมีราคาเฉลี่ยถึง 400 บาทต่อเล่มในปี 2024 ซึ่งพุ่งเกินค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว คำถามต่อมาคือ ต่อให้ไม่มีปัจจัยของราคา การอ่านหนังสือเป็นรูปเล่มยังสำคัญอยู่อีกหรือไม่ เพราะเราสามารถอ่านเนื้อหาได้จากหลายช่องทาง

แน่นอนว่าการอ่านข่าว บทความ หรือหนังสือผ่านหน้าจอ มันไม่ได้เป็นมิตรกับดวงตาเรามากนัก และหากพูดถึงอีบุ๊กบนอุปกรณ์สำหรับการอ่านโดยเฉพาะแล้ว สิ่งที่เราซื้อคือการซื้อ “สำเนาดิจิตอลฉบับถาวร” (permanent copy of the applicable digital content) ของหนังสือเล่มนั้นๆ ถ้าอ่านเอาเนื้อหาก็คงตอบโจทย์และอีบุ๊กยังมีราคาถูกกว่า แต่ถ้าอ่านในฐานะงานอดิเรก ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การอ่านหนังสือเล่มและได้ยินเสียงเปลี่ยนหน้ากระดาษถือเป็นห้วงอารมณ์เชิงบวก หนำซ้ำ มันยังไม่ต้องการแบตเตอรี่เพื่อเข้าถึงเนื้อหา (จินตนาการว่าคุณอยู่ในเมืองที่ไฟดับยาวนาน คุณต้องหาวิธีฆ่าเวลาและยังต้องหาข้อมูลทำงาน เมื่อมองในมุมนี้ หนังสือเล่มยังค่อนข้างจำเป็นอยู่มาก)

ส่วนคนที่ไม่รู้จะอ่านอะไร หนังสือก็ตอบโจทย์ความไม่รู้นั้นตั้งแต่แรก พูดให้เข้าใจง่ายคือ หนังสือคือตัวช่วยอันดับแรกๆ เพื่อให้เราเข้าใจตัวเองและสังคมรอบข้าง ในจุดนี้เองที่น่าสนใจ การเลือกซื้อหนังสืออีบุ๊กจากร้านค้าออนไลน์คุณจะพบการสุ่มเล่มแนะนำจากอัลกอริทึม ส่วนการไปร้านหนังสือ คุณจะสามารถมองซ้ายมองขวา เจอเล่มที่แอบอยู่ในชั้นล่างสุด เล่มฝุ่นเขรอะที่จ้องตาคุณไม่กะพริบ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากพนักงานขายหรือบรรณารักษ์ได้ มองในแง่นี้ การ (หาเล่มที่อยาก) อ่าน ก็สามารถช่วยให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันได้อย่างที่ช่องแชทในสโตร์ออนไลน์ยังไม่ถึงจุดนั้น

ศิลปะของการปล่อยใจไปกับกลิ่นและเนื้อสัมผัสของกระดาษ ยังหมายถึงการทำให้เราพบประโยคที่ใช่ ในช่วงเวลาที่ใช่ ได้ตกตะกอนเนื้อหาในช่วงเวลาที่เหมาะสม บางครั้งระบบนิเวศเหล่านี้อาจเป็นแก่นแท้ของการอ่านซึ่งเพนพอยต์ทั้งหลายชอบบดบังให้เราลืมนึกถึง ทว่ามีวิธีง่ายๆ ไม่ต้องใช้เงินมาก ให้เราเข้าถึงการอ่านที่เปี่ยมไปด้วยอรรถรส

ถัดจากนี้คือวิธีการอ่านที่ไม่ได้ซื้อ จ่าย จบ เพียงอย่างเดียว 

1. Book Swap – หาแลก หาอ่าน หาเพื่อน

Book swap – ตรงตามชื่อ มันก็คือการแลกหนังสือนี่เอง โดยเราสามารถแลกกับใครก็ได้ตราบใดที่อีกฝ่ายสะดวกใจ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน แฟน หรือคนรู้จักที่มีรสนิยมในการอ่านใกล้เคียงกัน ร้านหนังสืออิสระและงานหนังสือบางแห่งเองก็จัดกิจกรรมแนวนี้เพื่อให้เราสามารถนำหนังสือเล่มเก่าไปแลกกับอีกเล่มที่น่าสนใจได้ ทำให้บางคนคุ้นเคยกับกิจกรรมนี้อยู่บ้าง หรือบางคนอาจจะไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศของงานกิจกรรมแลกหนังสือ เพราะมันไม่ได้ถูกจัดขึ้นบ่อยนักในที่สาธารณะ แต่ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ที่ผ่านมาก็ได้ตั้งโต๊ะจัดกิจกรรม Book Swap ด้วยเช่นกัน โดยจัดขึ้นเป็นสล็อตเวลา 3 ครั้งต่อวัน และแต่ละครั้งจะเปิดให้แลกหนังสือประเภทนั้นๆ (เช่น วันหนึ่งเปิดให้แลกแนวสืบสวน สยองขวัญ - นิยายวาย - How to จิตวิทยา) ซึ่งนอกจากจะได้หนังสือแล้ว เราอาจจะได้เพื่อนใหม่ที่มีความสนใจเดียวกันก็ได้ หรือหากใครพลาดกิจกรรมนี้ไปแล้ว ร้านหนังสืออิสระอย่าง House of Commons ที่เจริญกรุงก็จัดโซนให้สามารถนำหนังสือมาแลกตรงตู้ที่ทางร้านจัดไว้ได้เช่นกัน เผื่อว่าตอนที่แลกเสร็จแล้วจะได้นั่งอ่านพร้อมจิบเครื่องดื่มแบบชิลๆ

2. Library – ห้องสมุดที่จริงใจ หาได้แทบทุกที่

หลายๆ คนอาจจะมีภาพจำของห้องสมุดว่ามีแต่หนังสือวิชาการหรือหนังสือเก่าที่เข้าถึงยาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ห้องสมุดที่มีหนังสือใหม่พร้อมการรักษาดูแลให้นั่งสบายนั้นมีอยู่มาก โดยเฉพาะห้องสมุดประชาชนที่มีมากถึง 92 แห่งใน 61 จังหวัด บางแห่งเองก็มีโซนโรงหนังและท้องฟ้าจำลองสำหรับผู้ใช้บริการ หรือหากต้องการสถานที่ที่ทันสมัยขึ้นมาหน่อยก็ยังมี TK Park ที่สามารถนอนอ่านหนังสือได้ มีห้องสมุดดนตรี โรงหนังขนาดย่อม ฯลฯ อุทยานการเรียนรู้นี้พัฒนาและขยายสาขามาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีถึง 29 แห่งใน 22 จังหวัดแล้ว โดยห้องสมุดทั้งสองดังกล่าวก็มีหนังสือรูปแบบ E-book อยู่มากมายให้สมาชิกหยิบยืม เรียกได้ว่าสะดวกสบายมากเลยทีเดียว หรือหากมันยังคงไม่ตอบโจทย์ จะลองไปส่องดูห้องสมุดของมหาวิทยาลัยก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน เพราะห้องสมุดของบางมหาวิทยาลัยนั้นเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าใช้บริการ หรือบางแห่งก็ให้ศิษย์เก่าเข้าฟรี มีอยู่ไม่น้อยที่นิสิตนักศึกษาออกมารีวิวว่าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยตัวเองเริ่ดมากขนาดไหน แถมเมื่อไปแล้วอาจจะชวนให้ได้นึกถึงช่วงเวลาดีๆ อีกด้วยนะ

ขอแถมอีกสักนิดว่า หากใครอยากสนับสนุนห้องสมุดอิสระที่ไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานใด ก็สามารถแวะไปที่ The Reading Room Bangkok ตรงสีลม ซึ่งนอกจากหนังสือภาษาต่างๆ แล้ว ห้องสมุดนี้ยังมี DVD หนังนอกกระแสให้ยืม รวมถึงจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การเสวนา เวิร์กช็อปศิลปะ ฉายภาพยนตร์ ฯลฯ ต้องบอกว่าบรรยากาศน่านั่งมากทีเดียว

View this post on Instagram

A post shared by The Reading Room (@readingroombkk)

3. Second-hand Books – รับและส่งต่อความสนุกแบบมือสอง

วิธีนี้ยังคงเป็นวิธีที่คลาสสิกและทำได้ไม่ยากเลย โดยอย่างยิ่งในเวลานี้ที่เราจะซื้อขายหนังสือมือสองในแพลตฟอร์มไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, X (Twitter) ฯลฯ หรือหากต้องการจะสัมผัสเล่มจริง ร้านและบูธที่วางขายหนังสือมือสองก็ยังมีอยู่มากมาย เพียงต้องพึ่งดวงสักหน่อยว่าจะเหลือเล่มที่เราสนใจอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น ในบรรดาวิธีต่างๆ ที่ยกมาในบทความนี้ วิธีนี้คงจะนับว่าง่ายที่สุด เพราะหนอนหนังสือมีอยู่ทุกที่ บางครั้งพวกเขา (และเรา) ก็มีหนังสืออยู่มากมาย ทั้งในตู้และกองดอง เมื่อมีมากก็จำต้องระบายของออกมาบ้าง ซึ่งข้อดีก็คือเราจะได้หนังสือมาในราคาถูก และหากเราเป็นฝ่ายขายเองก็จะได้ต้นทุนเพิ่มในการไปซื้อเล่มใหม่ที่เล็งเอาไว้ด้วย เพราะฉะนั้น จะรออะไรอยู่ ถึงเวลานั่งคัดหนังสือสภาพนางฟ้าที่อยากปล่อยให้โบยบินไปหาตู้ของคนอื่น และกำเงินไปคุ้ยกองสมบัติที่พร้อมมาเป็นของเราแล้วล่ะ

 หากใครสนใจที่จะไปสัมผัสบรรยากาศร้านหนังสือมือสอง ทางเราขอแนะนำ

  • Dasa Book Cafe (สุขุมวิท) : แหล่งรวมหนังสือภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศอื่นๆ แถมยังมีซีดีเพลงยุคเก่าด้วยนะ
  • Best Book (สะพานควาย) : ทั้งร้านอัดแน่นไปด้วยมังงะมือสอง ลด 50% จากราคาปก มีตั้งแต่เรื่องดังในตำนานไปจนถึงเล่มใหม่ๆ เลยล่ะ
  • ร้านหนังสือกาลครั้งหนึ่ง (อุทัยธานี) : ใครที่กำลังตามหาหนังสือเก่า หนังสือประวัติศาสตร์ วรรณกรรมเยาวชน และหนังสืออื่นๆ ที่อาจหาไม่ได้แล้ว ห้ามพลาดเด็ดขาด
  • เชียงใหม่บุ๊ค (เชียงใหม่) : อีกหนึ่งในร้านหนังสือเก่าที่มีคุณค่าและให้ราคาดี มียันนิตยสารยุค 70s วรรณคดี สารานุกรม วาทกรรมการเมือง ฯลฯ เรียกได้ว่าครบครัน
  • แมวผีบุ๊ค (ขอนแก่น) : ร้านอิสระอายุกว่า 10 ปีที่มีผลงานให้เลือกสรรมากมาย ซึ่งนอกจากจะได้หนังสือติดมือกลับบ้านไปแล้ว อาจจะได้ลูบน้องแมวประจำร้านอีกด้วย
  • หนัง(สือ)2521 Bookhemian (ภูเก็ต) : ร้านหนังสือกึ่งคาเฟ่ที่มีเมนูอันได้รับแรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรม ซึ่งมีจัดกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะ ดนตรี และภาพยนตร์บ้างเป็นครั้งคราว
  • Hornbill Bookshop & Cafe (หนองคาย) : ร้านหนังสือภาษาอังกฤษมือสองที่มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นพนักงานต้อนรับ และยังมีคุกกี้แฮนด์เมดสุดอร่อยไว้เคี้ยวระหว่างเลือกหนังสือด้วย

4. Book Club – เพราะอ่านคนเดียวอาจไม่ฟินเท่า

เมื่อพูดถึงคำว่า Book club บางคนอาจนึกถึงชมรมรักการอ่านในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย หรืออาจจินตนาการไปถึงฉากใน Sky Castle ที่ทุกคนต้องเล่าความประทับใจเกี่ยวกับหนังสือที่อ่านทุกสัปดาห์ ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องทำให้มันมีความตึงเครียดเหมือนในซีรีส์เลย เพียงแค่พบปะสังสรรค์กับเพื่อนในกลุ่ม และแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือที่อยากนำเสนอ และจะให้ยืมหนังสือกันเองก็ได้ กฎเกณฑ์จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ที่สมาชิกในกลุ่มตกลงยินยอม หากไม่รู้จะเข้าร่วมชมรมหนังสือที่ไหน เราจะเป็นผู้จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาเองก็ยังได้ แน่นอนว่าข้อดีของมันก็คือการสร้างบทสนทนาหัวข้อใหม่ๆ ในกลุ่มคนที่เรารู้จักและไม่รู้จัก สนุกไปกับการป้ายยา (และถูกป้ายยา) ถ้าโชคดี อาจจะได้คนจากชมรมมาเป็นเพื่อนในพาร์ทอื่นของชีวิตด้วย เช่น @readmeagnn กลุ่มที่เลือกหนังสือทุก 5 สัปดาห์และเปิดให้จอยกันตามคาเฟ่หรือสวนในกรุงเทพฯ หรือ @nongkhaiandfriends.library ร้านหนังสือในหนองคายที่กำลังมีโปรเจกต์ Book Club สัญจร ในเดือนพฤศจิกายน และถึงแม้ว่า Book club ที่ไม่ใช่กลุ่มปิดในประเทศไทยยังคงหายาก และบางแห่งก็ยังจัดเป็นเพียงกิจกรรมประจำปี หากมันมีจัดขึ้นสักครั้งก็อย่าลืมที่จะไปเข้าร่วมกัน เผื่อว่าวันไหนที่กิจกรรมเป็นที่รู้จักมากขึ้น วงการหนังสือก็จะขยับขยายจนเฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง

View this post on Instagram

A post shared by หนองคายห้องสมุดและร้านหนังสือ (@nongkhaiandfriends.library)

ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวทางในการเข้าถึงหนังสือ ทั้งในมิติของราคาและในมิติของการอ่าน คอมมูนิตี้เหล่านี้อาจทำให้เราเข้าใจความหมายระหว่างบรรทัดเพิ่มเติม ส่วนการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ผ่านตัวอักษรก็ทำให้เราเรียนรู้ชีวิตที่มากกว่าความหมายตรงตัวของน้ำหมึก การอ่านจึงไม่ใช่อะไรเลย หากแต่เป็นการยกระดับจิตใจผ่านการรดน้ำใส่หัวสมอง ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง เบิกบาน หรือถมอัตตาให้เต็มเปี่ยม แต่อาจง่ายดายเพียงให้เราได้ไตร่ตรองอะไรบางอย่างร่วมกัน

อ้างอิง
  • ไทยรัฐ
  • กรุงเทพธุรกิจ
  • Museum Thailand
  • The Cloud
  • The Reading Room
  • theatlantic.com

‍

Maho Rasop Festival 2024
Bangkok’s International Independent Music Festival

23-24 November ESC park, Bangkok

explore
Read more
Social Issue
“ผ่อนบ้านยืนยาว ชีวิตสั้น" สำรวจบ้านในฝันของคนรุ่นใหม่ ในวันที่ค่าครองชีพสูงลิบตา
“บ้าน” คำที่ได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แต่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสวนทางรายได้ ทำให้ ‘บ้าน’ กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่เอื้อมไม่ถึง
Culture
The Sims เกมสร้างบ้าน สานฝัน ปั้นโลกใบใหม่ – เพราะชีวิตจำลองไม่ทำให้เราเจ็บเลยสักวัน
คงจะมีผู้คนไม่น้อยเลยที่ไล่ตามฝันเอาไว้ในเกมจนรู้สึกคอมพลีทในใจ ด้วยความที่เราสามารถควบคุมทุกอย่างตามใจนึกได้เพียงใช้ไม่กี่นิ้วคลิก
Culture
งานอดิเรกสุดหลุดโลก แห่งปี 2024 ไม่เหมือนใคร และไม่มีใคร (กล้า) เหมือน
ต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ‘รีดผ้าผาดโผน’ ถึงไม่ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในรายการแข่งขันของโอลิมปิกปีนี้ เพราะมันน่าจะเป็นกีฬาที่บ้าระห่ำ...
Movie
10 หนังสุดทัชใจ สร้างจากหนังสือดังในตำนาน
Movie
5 หนังแนว ‘Cosmic Horror’ กับแนวคิด ‘Nihilism’ เมื่อมนุษย์เป็นแค่สิ่งเล็กๆ ในจักรวาล
วันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจแนวคิด Nihilism ที่ซ่อนอยู่ในหนัง Cosmic Horror ทั้ง 5 เรื่อง แล้วมันแย่จริงอย่างที่หลายคนบอกมั้ย?
Read more
Social Issue
“ผ่อนบ้านยืนยาว ชีวิตสั้น" สำรวจบ้านในฝันของคนรุ่นใหม่ ในวันที่ค่าครองชีพสูงลิบตา
“บ้าน” คำที่ได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แต่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสวนทางรายได้ ทำให้ ‘บ้าน’ กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่เอื้อมไม่ถึง
Culture
The Sims เกมสร้างบ้าน สานฝัน ปั้นโลกใบใหม่ – เพราะชีวิตจำลองไม่ทำให้เราเจ็บเลยสักวัน
คงจะมีผู้คนไม่น้อยเลยที่ไล่ตามฝันเอาไว้ในเกมจนรู้สึกคอมพลีทในใจ ด้วยความที่เราสามารถควบคุมทุกอย่างตามใจนึกได้เพียงใช้ไม่กี่นิ้วคลิก
Culture
งานอดิเรกสุดหลุดโลก แห่งปี 2024 ไม่เหมือนใคร และไม่มีใคร (กล้า) เหมือน
ต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ‘รีดผ้าผาดโผน’ ถึงไม่ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในรายการแข่งขันของโอลิมปิกปีนี้ เพราะมันน่าจะเป็นกีฬาที่บ้าระห่ำ...
Movie
10 หนังสุดทัชใจ สร้างจากหนังสือดังในตำนาน
Movie
5 หนังแนว ‘Cosmic Horror’ กับแนวคิด ‘Nihilism’ เมื่อมนุษย์เป็นแค่สิ่งเล็กๆ ในจักรวาล
วันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจแนวคิด Nihilism ที่ซ่อนอยู่ในหนัง Cosmic Horror ทั้ง 5 เรื่อง แล้วมันแย่จริงอย่างที่หลายคนบอกมั้ย?
Archive
About Us
Collaborate with Us
Contact Us
Subscribe to EQ
Stay up to date with the latest stories
Thank you!
Oops! Something went wrong while submitting the form.