Menu.Menu.
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
Interview
Fashion
Art & Design
Music
Movie
Social Issue
Culture
History
story
EQ
photographer
published
13.9.24
days-since-publication
Thai
English
View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

View this post on Instagram

A post shared by EQ (@eq_archives)

“รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราก็อยู่ได้” เมื่อ Individualism & Collectivism ขับเคลื่อนความครีเอทีฟของคนรุ่นใหม่

~เคยรู้สึกแปลกๆ ในเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างสิ่งที่คิดจริงๆ กับการแสดงออกตามความคาดหวังของอย่างอื่นไหม เช่น เวลาทำข้อสอบปรนัย จากเนื้อหาที่อ่านมาทำให้ต้องกาข้อ ก. แต่สิ่งที่ครูสอนคือ ข้อ ค. แล้วเราก็ต้องเลือกข้อหลังเพราะจะได้คะแนนแน่ๆ ถ้าลองคิดอีกมุม หากเรากล้ายกมือถามตั้งแต่ในชั้นเรียนหรือพูดคุยกับครูได้อย่างสบายใจ ความสงสัยก็จะถูกขัดเกลา ความงดงามของการถกเถียงก็จะถูกมองเห็น และความคิดสร้างสรรค์ก็จะถูกเพาะเมล็ดไว้ตั้งแต่เด็ก

~ในมุมหนึ่ง สาเหตุของความไม่รู้จะไปทางไหน อาจมาจากความขัดแย้งของ Individualism (ความเป็นปัจเจกนิยม) และ Collectivism (วัฒนธรรมรวมหมู่) ซึ่งเป็นรากฐานของคนไทย ยังไม่รวมถึงการต้องตะบี้ตะบันเดินตามความสำเร็จที่สังคมวางไว้ (achievement society) ที่มอบภาวะหมดไฟให้ทุกเจเนอเรชัน ซึ่งทำให้การเผชิญหน้าทั้งตัวเองและคนอื่นมีแต่เรื่องปวดหัว 

~แล้วถ้าโลกไม่ได้แบ่งเป็นสองขั้วล่ะ ถ้ามนุษย์มีสองสิ่งนี้เพื่อให้เราหยิบใช้อย่างสร้างสรรค์ล่ะ เราก็อาจไม่ต้องเผชิญภาวะตุ่นๆ อีก เพราะสังคมที่ผสมผสานทั้งสองไอเดียสามารถสร้างมูลค่าให้ทั้งตัวเองและสังคมได้

Individualism - Collectivism กรอบกว้างๆ ของการใช้ชีวิต

~ก่อนเริ่มเสาะหาหน้าตาของพื้นที่ที่สามารถโอบอุ้มทั้งสองแนวคิดนี้ เราอยากชวนทำความเข้าใจก่อนว่า Individualism และ Collectivism ไม่ใช่สิ่งที่เป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นสิ่งที่มาจากคนละจุดกำเนิดเท่านั้น และความเข้มข้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละเจนเนอเรชันซะมากกว่า

~รากฐานของ Individualism มาจากปรัชญากรีก ให้ความสำคัญกับการคิดเชิงเหตุผล สิทธิส่วนบุคคล และการเติมเต็มความพึงพอใจให้ตนเอง เป็นรากฐานทางความคิดของประเทศยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษและสแกนดิเนเวีย

~ส่วน Collectivism มาจากปรัชญาตะวันออก ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของส่วนรวมมากกว่าความพึงพอใจส่วนบุคคล กลุ่มประเทศที่ยึดโยงแนวคิดนี้มักเป็นประเทศฝั่งเอเชียและแอฟริกา เช่น จีนที่มีลัทธิขงจื๊อ เพื่อจัดระเบียบให้ประชากรจำนวนมหาศาลอยู่ร่วมกันได้ หรือสังคมการทำงานญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมดื่มหลังเลิกงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้การพักผ่อนกลายเป็นชีวิตที่แยกไม่ออกจากการทำงาน สะท้อนว่าญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับงานจนเป็นคุณค่าหลักของชีวิต

~อย่างไรก็ตาม Individualism และ Collectivism เป็นเพียงกรอบแนวคิดของการใช้ชีวิต ยุคหนึ่ง สังคมเราต้องการการพึ่งพาอาศัยทางเครือญาติเพื่อขับเคลื่อนชีวิตผ่านความยากลำบาก ขณะที่อีกยุคหนึ่ง เราต้องการพลังงานที่สร้างสรรค์ของแต่ละคน เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้สังคม แล้วจะดีกว่าไหมหากเราค่อยๆ เรียนรู้ผู้คน ซึ่งไม่ว่าคุณค่าแบบไหน ก็สามารถพาตัวเราและสังคมไปข้างหน้าได้เช่นกัน

รุ่นเราโตมายังไงนะ กำลังเจออะไรกันบ้าง

~“เป็นพี่ต้องดูแลน้อง” “เป็นน้องต้องเชื่อฟังพี่” “เป็นเด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่” “ต้องตั้งใจเรียน โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” “อายุ 25 มีบ้านรึยัง” “อายุ 30 แต่งงานรึยัง” ฯลฯ สารพัดอย่างกับสมการตายตัวที่ผู้ใหญ่ถอดรหัสมาให้เราเดินตามทาง ซึ่งว่ากันตามตรง ความคาดหวังแกมคำสั่งเคยได้ผลในยุคที่การเดินตามบรรทัดฐานคือคำตอบ และช่วยวางเป้าหมายให้ชีวิต ทำให้รู้ว่าเราเรียนหนัก ทำงานหนักไปทำไม แต่เหตุผลนั้นเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

~เริ่มจากเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomers) เกิดระหว่างปี 2489-2507 มีอายุประมาณ 60-78 ปี คนรุ่นนี้เกิดในช่วงภาวะหลังสงครามโลก เศรษฐกิจฝืดเคือง แต่เมื่อไทยได้รับเงินสนับสนุนช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 2493 จนถึงปี 2516 ขณะที่ปี 2529 ญี่ปุ่นก็เข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมในไทย บูมเมอร์จึงเกิดเติบโตมาในสังคมไทยยุคเศรษฐกิจขยายตัว การทำงานหนักสามารถให้ชีวิต บ้าน รถ และครอบครัวได้ วลีฮอตฮิตอย่าง “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” จึงค่อนข้างเป็นคติประจำใจของคนรุ่นนี้ ซึ่งคนเจน X ที่เติบโตไล่เลี่ยกัน (เกิดระหว่างปี 2508-2522 อายุประมาณ 45-59 ปี) พวกเขาก็ยึดมั่นคติดังกล่าว เพราะการเห็นรุ่นพี่และพ่อแม่ประสบความสำเร็จจากความมุ่งมั่น ต่างตรงที่การเติบโตในบางสายงานจะพบเพดานของบูมเมอร์อยู่ก่อนหน้า และปัจจุบัน เจน X กลับประสบภาวะเครียดกับปัญหาการเงิน รวมถึงรู้สึกไม่มั่นคงกับชีวิตในวัยก่อนเกษียณ

~ส่วน เจน Y หรือมิลเลนเนียลส์ (Millennials) ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2523-2540 อายุประมาณ 27-44 ปี พวกเขาได้รับความเลี้ยงดูจากคนรุ่นบูมเมอร์ เติบโตมาในยุคที่อินเทอร์เน็ตมีบทบาทในชีวิตประจำวัน โลกเปิดพรมแดน พวกเขามีตัวละครและศิลปินระดับไอคอนิกจาก pop culture ยุค 90s - 00s เป็นไอดอล แต่คนรุ่นนี้กลับเผชิญความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น การเติบโตผ่านยุควิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 การเมืองเสื้อสีทศวรรษ 2550 รวมถึงการปะทะโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงวัยทำงาน แม้เติบโตมาในยุคที่ค่านิยมจากบูมเมอร์สอนสั่งให้เชื่อในการทำงานหนัก ไม่เลือกงาน และยึดถือส่วนรวม แต่พวกเขากลับมีความคิดสร้างสรรค์ มีศักยภาพพร้อมจะเรียนรู้ เป็นตัวของตัวเองสูงเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนหน้า ซึ่งอาจเป็นเพราะสถานะวัยรุ่น 90s ที่วัฒนธรรมป็อบขยายตัวในช่วงวัยเด็ก  

~ขณะที่เจน Z เกิดระหว่างปี 2540-2552 อายุ 15-27 ปี พวกเขาเป็นชาวดิจิตอลเต็มตัว เสพข้อมูลข่าวสารจากหลากหลายช่องทางเพื่อประกอบการตัดสินใจ มั่นใจในตัวเองสูง มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัดจนถูกขนานนามอีกชื่อว่า ‘คนรุ่นโบว์ขาว’ ที่สำคัญ พวกเขาคือกลุ่มคน first jobber ในทศวรรษนี้ และกำลังเผชิญกับอัตราแข่งขันในตลาดแรงงานที่สูงลิ่ว และถือเป็นเจนที่ต่อยอดความรักอิสระจากเจน Y เกือบทุกด้าน

~เมื่อรุ่นราวชาวเจนใหม่ มีชุดความคิดสุดฟรีที่ได้มาพร้อมกับการท่องโลกดิจิทัล ต่างคนต่างมีค่านิยม ความเชื่อ และการกระทำที่แตกต่าง การตามหา ‘ตัวตน’ และ ‘สิ่งที่ชอบ’ จึงกลายเป็นหมุดหมายใหม่บนถนนที่ทอดยาวของชีวิต 

~ถ้าลองถามเพื่อนสัก 10 คนเล่นๆ ดูว่า “เป้าหมายในชีวิตคืออะไร?” เราคงได้คำตอบที่หลากหลาย แต่หนึ่งคำตอบที่เชื่อว่าต้องโผล่มา 5 ใน 10 คือ “ได้ทำอะไรเป็นของตัวเอง ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก” จึงไม่แปลกเลยที่จะเห็นคนอายุน้อยๆ ลองทำนู่นนี่ ล้มบ้าง ลุกบ้าง ทั้งธุรกิจส่วนตัว โปรเจกต์พิเศษนอกเหนือจากงานประจำ และงานอดิเรกเจ๋งๆ อีกมากมายที่มี ‘ความคิดสร้างสรรค์’ เป็น medium  

~แต่เมื่อเราไปถึงสุดทางของถนนของชีวิต ได้เจอกับสิ่งที่ตัวเองตามหามานาน เราอาจจะยืนชมเชยมันสักพัก สุดท้ายเราก็จะจับเอามันยัดใส่กระเป๋า แบกกลับบ้านแล้วแกะกล่องความคิดสร้างสรรค์นั้นร่วมกับใครก็ตามที่พกมันไว้ในกระเป๋าเดินทางเหมือนๆ กัน 

~Individualism และ Collectivism จึงไม่ใช่แรงปะทะเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นแรงประสานสำหรับการทำงานสร้างสรรค์ ทำให้มีกลุ่มคนรุ่นใหม่มากหน้าหลายตา เกาะกลุ่มโดยมีความชอบส่วนตัวที่เหมือนกันเป็นกาว เชื่อมความคิด ความสามารถ ของทุกคนเอาไว้ เพื่อสรรสร้างสิ่งใหม่ๆ ในสังคมที่โอบอุ้มทั้งสองไอเดียนี้ แล้วขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยไปด้วยกัน

สังคมที่มีพื้นที่สร้างสรรค์จากการควบรวมทั้งสองไอเดียจะเป็นยังไง?

~ก็จะกลายเป็นสังคมที่เปิดกว้างทางด้านความคิดและขับเคลื่อนด้วย ‘อุตสาหกรรมสร้างสรรค์’ นั่นเอง จากรายงานของ Creative Economy Agency พบว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ไทยนั้นมีหลักๆ อยู่ทั้งหมด 15 ข้อ โดยมี 5 ข้อที่ยึดโยงกับทั้ง ​Individualism และ Collectivism อย่างชัดเจน 

~อย่างแรกคือ ‘Self-actualization’ หรือการที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการตอบสนองต่อตนเองในด้านความสำเร็จในรูปแบบต่างๆ อย่างที่สองคือ ‘Social democratization’ - การเรียนรู้ที่เปิดกว้าง การแพร่หลายของประชาธิปไตยและความเท่าเทียม อย่างที่สาม ‘Borderless connectivity’ - เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมองค์ความรู้และข้อมูล โดยเฉพาะการเชื่อมต่ออย่างไร้พรมแดน อย่างที่สี่ ‘Limitless imagination’ - จินตนาการและสร้างสรรค์ผลงานของผู้คนมีมากขึ้น จากการมีพื้นที่สร้างสรรค์และแหล่งข้อมูลที่เปิดกว้าง และท้ายสุด ‘High value heritage’ - วัฒนธรรมอาจถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับสภาพสังคมมากขึ้น 

~แล้วสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของเรายังไงบ้าง?

  1. เกิดการตีความวัฒนธรรมไทยในมุมมองใหม่‍

~วัฒนธรรมไทยถูกนำมาตีความ และสร้างมูลค่าใหม่ ก่อให้เกิดการอนุรักษ์วัฒนธรรมแบบร่วมสมัยที่ไม่เหมือนใคร เช่น การสร้างคลังดิจิทัลของศิลปะพื้นเมือง การนำอาหารท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่าด้วยการผนวกรวมอาหารเข้ากับศิลปะ หรือการส่งเสริมรูปแบบดนตรีและการเต้นรําแบบดั้งเดิมผ่านการตีความใหม่ 

  1. เกิดงานสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมทั้ง ‘ตัวตน’ และ ‘ความหลากหลาย’‍

~มีการสื่อสารความหลากหลายของเชื้อชาติ รสนิยมทางเพศ ศาสนา ความเชื่อ ประเด็นทางสังคม และความสามารถที่แตกต่างกันผ่านศิลปะ สื่อโฆษณา ภาพยนตร์และสื่อสร้างสรรค์ประเภทอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็มีงานสร้างสรรค์ ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และตัวตนของศิลปินหรือผู้ผลิตชิ้นงานนั้นๆ 

  1. เกิดการออกแบบที่เน้น ‘ความเป็นมนุษย์’‍

~มีงานออกแบบที่เน้นการทําความเข้าใจถึง พฤติกรรม อารมณ์ แรงจูงใจ และความต้องการของผู้ใช้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการให้ได้มากที่สุด เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งแบบดิจิทัลและแบบเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ หรือ นวัตกรรมล้ำๆ ถือเป็นการส่งเสริมการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม

  1. เกิดการทํางานร่วมกันระหว่างศิลปิน นักออกแบบ และชุมชน‍

~ส่งเสริมให้คนที่มีพื้นเพหลากหลายมาทํางานร่วมกันในโปรเจ็กต์สร้างสรรค์ต่างๆ  เกิดเป็นงานที่แตกต่าง ไม่เหมือนใคร ผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนและความเข้าใจทางวัฒนธรรม เช่น งาน Design Week ที่จัดในหลายๆ เมือง ที่ส่งผลให้เกิด ‘ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ พัฒนาพื้นที่และชุมชนอย่างยั่งยืน

~ด้วยพื้นที่ที่เปิดกว้างให้ทุกคนได้ใส่ความเป็นตัวเองและได้ผลักดันบางอย่างร่วมกัน ทำให้ผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ สามารถสร้างรายได้ให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้กว่า 1.705 ล้านล้านบาท ในปี 2565 - 2566 แม้ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีกิจการขนาดเล็ก แต่ก็ผลิดอกออกผลกว่า 83,329 กิจการในปี 2566 โดยมีแรงงานครีเอทีฟกว่า 963,549 คนวนเวียนอยู่ในตลาด ส่วนมากอยู่ในกลุ่มงานฝีมือหัตถกรรมและอุตสาหกรรมโฆษณา

~มูลค่าการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ของไทย (Free on Board: FOB) ปี 2565 มีมูลค่ารวม 2.52 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.53% ของมูลค่าการส่งออกทั้งประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าสินค้าสร้างสรรค์มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเราส่งออกสินค้าในหมวด ดีไซน์ (สถาปัตยกรรม, แฟชั่น, เครื่องแก้วต่างๆ, ตกแต่งภายใน, เครื่องประดับ, และของเล่น) สูงถึง 86.14% และมีสินค้าประเภท ศิลปะและหัตถกรรม (พรม, กระดาษ, เครื่องหวาย, สิ่งทอ, และงานหัตถกรรมอื่นๆ) อยู่ที่ 5% เป็นลำดับรองลงมา

~สุดท้ายแล้ว สังคมที่โอบรับแนวคิดและค่านิยมที่หลากหลาย อนุญาตให้เราได้เป็นตัวเอง มีอิสระ ให้คุณค่ากับสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง ก็ย่อมสร้างแรงจูงใจให้คนสร้างสรรค์ คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ หรือลงมือลงแรงทำธุรกิจ ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจให้รุดไปข้างหน้า การบวกรวมหยินกับหยาง ขาวกับดำ ไม่ได้ออกมาเป็นพื้นที่สีเทา แต่เป็นพื้นที่หลากสีตรงกลางที่เปิดโล่งสำหรับการหว่านเมล็ดพันธ์ุให้สร้างสรรค์และเติบโตต่อไป

‍

อ้างอิง

agenda.co.th

winestrehab.com

waymagazine.org

mindbydesign.io

ph02.tci-thaijo.org

chula.ac.th

bangkokbiznews.com

thestandard.co

article.tcdc.or.th 

THAILAND’S CREATIVE INDUSTRIES MOVEMENT REPORT 2022

‍

Read more
No items found.
Read more
No items found.
Archive
About Us
Collaborate with Us
Contact Us
Subscribe to EQ
Stay up to date with the latest stories
Thank you!
Oops! Something went wrong while submitting the form.