“ปริ๊นปริ๊นนนนน” คุยกับ 3 ผู้จัด printPRINT งานแฟร์ที่อยากให้คนทำหนังสืออิสระเฉิดฉาย
ปริ๊นปริ๊นนนนนนนนนนนน
เสียงบีบแตรชวนทุกคนขึ้นรถมุ่งสู่งาน printPRINT Art Book Fair ที่กลับมาอีกครั้งในวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2025 ณ คอมมูนิตี้ใจกลางเมืองสุดโฮมมีอย่าง GalileOasis
printPRINT Art Book Fair ครั้งที่ 2 ได้บรรจุโลกของสิ่งพิมพ์อิสระในบรรยากาศเป็นกันเอง งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ของ ‘ผู้ซื้อกับผู้ขาย’ หรือ ‘คนอ่านกับหนังสือ’ แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งความครีเอท สร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนบทสนทนาของคนวงการสิ่งพิมพ์อิสระ รวมไปถึงเป็นช่องทางให้นักอ่านเสาะหาทั้ง zine, Photobook, Textbook, Art Book กับอีกสารพัดสิ่งเข้าชั้นหนังสือของตัวเองด้วยเช่นกัน
เอาล่ะ ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าจะพบอะไรใน printPRINT? รวมถึงมีคำถามว่า zine คืออะไร ซ้อนเหลื่อมกับสื่อสิ่งพิมพ์อิสระหรือความเป็นหนังสืออย่างไร แล้วในยุคที่ใครๆ ก็อ่านไฟล์ .pdf ได้ zine จะยังเป็น zine และหนังสือจะยังสำคัญอยู่มั้ย?

เราอยากชวนคุณมาต่อบทสนทนากับ 3 ผู้จัด printPRINT Art Book Fair อย่าง ตั้ม—วุฒิพล อุจจธรรมรัตน์ ดีไซเนอร์ ผู้จัดพิมพ์อิสระ ศิลปินนาม @wuthipol.designs ปิ่น—วิทิต จันทามฤต และ เอิง—กนิฐปัญณีย์ นิ่มศรีทอง แห่งร้านหนังสือ Vacilando Bookshop ถึงวงการ zine และสิ่งพิมพ์อิสระกัน!
อธิบายหน่อยได้ไหมว่า ‘zine’ คืออะไร
ตั้ม : zine เหมือนหนังสือทำมือเล่มเล็กๆ ซึ่งใครก็สามารถผลิตได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คอนเซปต์ของ zine มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมยุโรปกับอเมริกา ในสมัยก่อนเขาจะใช้ zine เป็นสื่อนอกระบบ สื่อนอกกระแสหลัก สื่อใต้ดิน อาจเล่าเรื่องที่ค่อนข้างรุนแรงหรือเรื่องที่สื่อหลักไม่สามารถเล่าได้ เขาจึงทำ zine เพื่อแจกจ่าย เราจะเห็นได้ว่าถ้าช่วงไหนมีการประท้วงหรือเรียกร้องสิทธิต่างๆ ก็จะมีกลุ่มศิลปินแขนงต่างๆ รวมตัวกันทำ zine เพื่อสื่อสารข้อความ เนื้อหา ข้อเท็จจริง ความรู้สึกหรือข้อคิดเห็นกับเหตุการณ์ต่างๆ
ตั้ม : ส่วนภาพรวมในเมืองไทยหรือเอเชีย ผมรู้สึกว่าเราไปยืมวัฒนธรรมนั้นมา แล้วเราก็ปรับเปลี่ยนให้ zine เป็นสื่อทางศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งศิลปินรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะลงดีเทลใน zine ค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่อาจไม่ได้ทำเกี่ยวกับการประท้วงหรือเรียกร้องสิทธิ ในเอเชียจะเปลี่ยนสื่ออย่าง zine มาเป็นสื่อสิ่งพิมพ์อิสระที่เราเห็นได้ทั่วไปตามร้านหนังสืออิสระ เราจะเห็นคอนเทนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องสุขภาพ เรื่องอาหาร เรื่องอะไรก็ได้ แล้วก็จะเห็นหลายรูปแบบ เช่น รูปแบบเล่ม รูปแบบแผ่นพับ แต่สิ่งสำคัญคือการทำ zine จะต้องไม่ผ่านสำนักพิมพ์ ศิลปินเป็นผู้ผลิตเอง ทำเอง ขายเอง

แล้วการที่สิ่งพิมพ์หนึ่งๆ จะเป็นหรือไม่เป็น zine มันมีกฎเกณฑ์ตายตัวไหม
ตั้ม : เราก็ยังพยายามทำความเข้าใจอยู่ว่า หนังสือเรียกว่า zine ได้ไหม แล้ว zine สามารถเรียกว่าหนังสือได้ไหม เพราะมันมีหลายกรณีที่เข้ามา merge กัน เข้ามามีพื้นที่สีเทาตรงกลาง
ปิ่น : เราดีเบทกันอยู่เรื่อยๆ นะ ‘เอ๊ะ แบบนี้เราควรเรียกว่าหนังสือหรือ zine?’ หรือ ‘อะไรคือเส้นแบ่งที่แน่นอนกันแน่?’
ตั้ม : ใช่ หลายคนอาจจะเข้าใจว่า zine ต้องมีลักษณะเล่มเล็ก เล่มบาง หรือเราต้องทำเองกับมือ ผลิตเองกับมือ พรินต์เองที่บ้าน หรือใช้เครื่องซีร็อกซ์ทำ ซึ่งปัจจุบันมันสามารถผ่านกระบวนการของโรงพิมพ์ได้ อย่าง zine ที่ผมทำส่วนใหญ่จะใช้โรงพิมพ์ ซึ่งเป็นโรงพิมพ์เชิงพาณิชย์เลยนะ เพราะบางที สิ่งที่เรามีอยู่อย่างเครื่องพิมพ์ที่บ้านหรือเครื่องเย็บต่างๆ มันไม่สามารถผลิตงานที่ผมต้องการได้ เราก็ต้องให้โรงพิมพ์เขาผลิตให้ แต่พอก้าวเท้าเข้าไปให้โรงพิมพ์ผลิต เราก็คิดได้ว่า ‘มันจะเป็นหนังสือและอาจจะไม่ใช่ zine รึเปล่า?’ แต่ถ้าเราคิดในแง่ว่า ถ้าเกิดเรายังเป็นผู้ผลิตเอง เราสามารถเล่าเรื่องอะไรก็ได้ ไม่มีใครห้ามคุณเล่าเรื่องนี้ มันก็ยังมีความอิสระของสิ่งพิมพ์นี้อยู่ ซึ่งทำให้เป็นเสน่ห์ของ zine
เอิง : ในการสร้างคอนเทนต์ด้วยนะ บางทีการใส่กิมมิกเข้าไป โรงพิมพ์ก์ทำให้เราไม่ได้ เช่น จะใส่กระดาษ พับหน้านั้นไปหน้านี้ การเย็บติด material อื่นๆ เข้าไป เหน็บใบแทรกหรือแถมเมล็ดพืช ถ้าเป็นโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ เราอาจจะต้องเทรนให้เขาทำให้ ซึ่งบางทีไม่ได้ดั่งใจเรา เพราะ zine สามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปได้อีก และมันจัดการง่ายนะ เพราะเราทำเอง
ปิ่น : ในขณะที่ถ้าเป็นหนังสือหรือ Photobook มันจะมีกรอบที่เอื้อให้เกิดการผลิตซ้ำได้เยอะมากๆ แต่มันยังอยู่ในความหมายของคำว่า Self-Publication หรือ Self-Distribution เหมือนกัน เพราะฉะนั้น หนังสือกับ zine มันมีอะไรที่เหลื่อมกันอยู่ แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ด้วย
ปิ่น : ขอเสริมว่า อาจจะเป็นเรื่องจำนวนยอดพิมพ์ด้วย zine อาจจะอยู่ที่ 100-300 เล่มต่อวัน แต่หนังสือมันมากกว่านั้น เพราะมันเข้าระบบเครื่องจักร นั่นแหละ มีเส้นแบ่งที่เหลื่อมกันอยู่
ตั้ม : อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องว่าใครผลิตให้เราหรือได้ทุนมาจากไหนด้วย ความเป็น zine มันต้องเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอันนี้คือตัวเรา ของเรา สไตล์เรา
ปิ่น : ซึ่งเราต้องเล่าเรื่องของเราอยู่ในเล่มนั้น ไม่ใช่เรื่องของผู้ให้ทุน
ภาพรวมของวงการ zine ก็ดี Photobook ก็ดี การทำหนังสืออิสระก็ดี รวมถึงร้านหนังสืออิสระในไทยด้วย ตอนนี้เป็นยังไงในมุมมองของเรา
ตั้ม : zine ในเมืองไทยมีมานานมากแล้ว เพียงแต่มันยังมีความ underground หมายถึงว่าซุกซ่อนอยู่ตามวัฒนธรรมต่างๆ เช่น งานเทศกาลดนตรีที่เราจะเห็นซุ้มเปิดขาย zine อยู่ ผมรู้สึกว่าช่วงที่มันกลับมาเติบโตในวงการของศิลปะ น่าจะเป็นปีแรกของ BANGKOK ART BOOK FAIR (2017) ที่เขาเปิดพื้นที่ให้วงการ Self-Publication ได้เติบโต เราจะเห็นคนทำ Art Book คนทำ zine ขึ้นมาเยอะ ผมว่าตรงนั้นเป็นเหมือนเวทีแรกที่อยู่ๆ zine มันขึ้นมาจากใต้ดิน
ตั้ม : ที่ต้องพูดถึงก็คือ SPACEBAR ZINE เขาคอยสนับสนุนการทำ zine ให้คำแนะนำนักศึกษาและศิลปินว่า zine ทำยังไง แล้วบางทีก็รับผลิตด้วย zine มันเลยเติบโตมาจากวงการศิลปะ แต่พอ zine โดนนำเสนอในที่กว้างอย่าง Art Book Fair มันก็ทำให้คนเข้าใจว่า zine อยู่ในวงการ Art Book เราถึงเห็นคำถามในเมืองไทยเยอะว่า ‘zine ใต้ดินมันไม่ค่อยมีแล้วหรือเปล่า?’ แต่จริงๆ มันมีอยู่นะ
ตั้ม : ในช่วง 5-6 ปีหลังจากโควิด เราจะเห็น zine เจริญเติบโตมากขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าปัจจัยอยู่ตรงไหนนะ แต่ผมรู้สึกว่านักวาดกับช่างภาพเขาสนใจมาทำ zine มากขึ้น อาจจะเป็นต้นทุนที่ต่ำลง แทนที่จะผลิตหนังสือเล่มนึง ก็ทำ zine เล่มเล็กๆ แทน ต้นทุนไม่แรงมาก คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จำหน่ายได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตามตลาดอาร์ตธรรมดา หรือว่าตาม Zine Fair / Art Book Fair เขาหาตลาดของเขาเองได้

เอิง : เราอยากย้อนไปก่อนนิดนึง เราเริ่มมาจากงาน MAKE A ZINE ของ a day Magazine ปี 2015 ที่ Jam Factory จำได้ว่ายังไม่มี Instagram มีแต่ Facebook แล้วเหมือนเขาจะสร้างกลุ่มให้เรากด join ให้เราเข้าไปอ่านข้อมูลและ apply ในนั้น ทุกคนจะทำ zine ของตัวเองมา 21 เล่ม 1 เล่มให้ผู้จัด อีก 20 เล่มเหมือนให้เอาไปแลกกัน ให้ไปวางบนโต๊ะโชว์ เราจะไม่เจอคน แต่เราจะเห็นงาน ให้เราเอาเลขหรือสติกเกอร์ไปแปะ ทำนองนี้ โดยสรุปก็คือ เราได้ zine 20 เล่มกลับมา แล้ว zine 20 เล่มของเราก็จะกลายเป็นของคนอื่นที่แลกกลับไป
ปิ่น : จริงๆ มันมีการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ แต่ถ้าก่อนประวัติศาสตร์ในรอบ 10 ปี มันจะเป็นคำว่า ‘หนังสือทำมือ’ ในสวนสันติฯ อยู่ในงานของ Magazine สุดสัปดาห์ หรืออยู่ในงาน Fat Festival ซึ่งมันจะเป็นอีก generation นึงละ
เอิง : zine เป็นสื่อที่ทำให้เรากล้าเล่าเรื่องตัวเอง ตอนนั้นเราทำเรื่องที่เราอยากเล่าเกี่ยวกับตัวเองมากๆ เราเขียนถึงพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว มันโคตรส่วนตัว แต่ zine ทำให้เรากล้าเล่า เพราะเราทำคอนเทนต์อะไรก็ได้ แล้วมีคนมาแลกกับเราด้วย เหมือนแลกเรื่องกันอ่าน ไม่ได้จำกัดว่ามันควรจะต้องเป็นแบบไหน ถ้าเราเป็นนักเขียนที่เขียนเรื่องประมาณนี้ใน พ.ศ. นั้น เราจะไม่ได้ตีพิมพ์งานตัวเองออกไป ซึ่ง zine สามารถเล่าเรื่องในหัวของเรา หรือถ้าต้องการแสดงออกอะไรบางอย่าง มันทำได้หมดเลย
ตั้ม : เคยรู้จักฝรั่งคนนึง เขาเล่าเรื่องที่อกหักจากผู้ชายหลายๆ คน แล้วก็เขียนเป็นไกด์ไลน์ประมาณว่า ‘How to Get Over a Heartbreak’ เขาก็จะเขียนเลยว่าอกหักมาเป็นยังไง เหมือนเป็นไดอารี่ แต่เราสามารถเอาให้คนอื่นอ่าน
ปิ่น : การเกิดขึ้นของ zine อาจอยู่ที่ว่ามันรับใช้ยุคไหน ช่วงไหน ยังไง อย่างยุคนี้มันเป็นเครื่องมือการแสดงผลงาน เช่น นักวาดภาพประกอบก็ทำ zine หรือนักดนตรีก็ทำ zine มีกึ่งความเป็น merchandise
ตั้ม : หรือคล้ายๆ Portfolio ถ้าพูดในนามนักวาดหรือช่างภาพนะ ซึ่งเราสามารถหยิบเล่มนั้นไปให้คนอื่นหรือลูกค้าได้
แล้วงาน printPRINT มีที่มาที่ไปยังไง
ปิ่น : มันเริ่มตั้งแต่ปี 2023 หลังจาก BANGKOK ART BOOK FAIR ที่โรงแรมเอเชียจบ ซึ่งปีหลังๆ เราไม่ได้เข้าร่วม BANGKOK ART BOOK FAIR เพราะเรามี Physical space ของเราเอง (Vacilando Bookshop) แต่พอ 2024 มีเพื่อนๆ ต่างชาติทักมาถามว่า งานจะเริ่มจัดเมื่อไร แล้วเขายังไม่มีประกาศอะไรออกมา เราเลยถามกันเองว่า พวกเราลองดูมั้ย แต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งสิงหาคม ปี 2024 เรารู้สึกว่า เราขายหนังสือมาทั้งปีละ แล้วคนอื่นที่เขาทำสิ่งเหล่านี้ เขากำลังจะไม่มีที่ขายหรือเปล่านะ ก็ไถๆ IG เช่นเคยครับ (หัวเราะ) จนไปเจอพี่ตั้มโพสต์อะไรสักอย่าง
ตั้ม : ตอนนั้นมีไอเดียมาแล้วว่าอยากจะทำ แล้วก็โพสต์ไปเล่นๆ ว่าเราลองทำกันเองมั้ย เหมือนมองหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์
ปิ่น : ส่วนผสมของพวกเราคือ เรากับเอิงมีพื้นที่ แต่ไม่มีแรงเหลือละ ส่วนพี่ตั้มมีแรง พี่ตั้มชอบโพสต์ผ่าน story แล้วก็โพสต์ตั้งคำถามเชิงวิจารณ์วงการ เราเข้าไปอ่านแล้วก็ ‘เออ เอาสิ’ แต่ก็คิดแล้วว่า ถ้าจะทำมันต้องไม่ใช่ร้านเรา เพราะร้านเราจุคนได้แค่จำนวนนึง ตอนนั้นไปหาสถานที่จัดงานประมาณกลางเดือนสิงหาคม ล็อกสถานที่ประมาณปลายเดือนสิงหาคม เปิด Open Call เดือนกันยายน แล้วก็จัดงานต้นพฤศจิกายน ซึ่งเวลามันสั้นมาก แต่มีคนตอบรับเรานะ เราดีใจมากเลย คือเราเป็นใครก็ไม่รู้นอกจากเป็นร้านหนังสือและเป็นคนทำ zine
ปิ่น : ส่วนชื่อ printPRINT มันมาจากการคุยงานระหว่างปี ตอนที่เราฟอร์มทีม เรามีอยู่ 3 โต๊ะ คือคือผมกับเอิง พี่ตั้ม แล้วก็มาร์กับมัดหมี่ที่เป็น Illustrator ซึ่งทุกคนเห็นตรงกันว่า ไม่มีพื้นที่การขาย แต่เรา (ปิ่นกับเอิง) มีพื้นที่ขาย แต่เราไม่มีแรง เราต้องชวนคนอื่นมาร่วมและคิดชื่อออกมาเป็น ‘printPRINT’ เป็น p r n t ตัวเล็กและ P R N T ตัวใหญ่ แล้วมีชื่อภาษาไทยว่า ‘พิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่’ เพราะ ข้อแรก คนไทยเป็นคนสนุก ชอบพูดอะไรซ้ำๆ เช่น ‘ใช่ๆ’ ‘เหรอๆ’ แล้ว printPRINT ยังไปคล้องกับคำว่า พิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ ที่เราอยากสนับสนุนคนพิมพ์รายเล็กๆ ทำสิ่งพิมพ์ที่เป็นรายเล็ก แล้วหวังว่าจะมีคนทำสิ่งพิมพ์รายใหญ่เข้ามา join พื้นที่ Art Book Fair ของเราด้วย นั่นคือไอเดียว่าอยากให้มีคนพิมพ์หลากหลายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ก่อให้เกิดพื้นที่แลกเปลี่ยนและสร้างบทสนทนากันด้วย
ปิ่น : เพราะเราเองก็เกิดมาจาก BANGKOK ART BOOK FAIR ปีที่ 1 เรารู้เลยว่าพื้นที่ทางกายภาพสำคัญมากในการขายและส่งต่อเรื่องราวผ่านสิ่งพิมพ์แค่ไหน เพราะไม่งั้น ถ้าเราไม่มี Art Book Fair เราจะคุยกับแค่ username ที่ซื้อของเรา เราจะไม่เห็นเลือดเนื้อ เราไม่เห็นหน้าตา printPRINT จึงควรมีคนหลากหลายและควรมีบทสนทนาที่ไม่ใช่แค่คนขายคนซื้อ แต่คือคนขายกับคนขายด้วยกัน
เอิง : หมายถึงว่า ถ้าสุดมันต้องมีพื้นที่ในการขาย pprintPRINT (ปริ๊น-ปริ๊นนนนน) เรามาแล้วอะไรอย่างนี้ สนับสนุนให้ทำ zine กันจ้า
พูดได้มั้ยว่า ต่อให้มี printPRINT Art Book Fair เกิดขึ้น พื้นที่ของ Art Book Fair ในไทยก็ยังไม่เพียงพอ
เอิง : เรารู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องมี printPRINT เพียงอย่างเดียว มี Art Book Fair อื่นด้วยก็ได้ เราจะได้เห็นถึงความหลากหลายของงาน เมืองนอกก็มี Art Book Fair ของแต่ละเมืองเยอะไปหมด อยากให้ดูมีความหลากหลายนิดนึง ไม่งั้นเราจะมีอยู่แค่แฟร์เดียว เหมือนเรามีงานหนังสือแห่งชาติอย่างเดียว แล้วรอกันทั้งปีเพื่อไปที่นั่นที่เดียว เรารู้สึกว่ามันก็คล้ายกัน คือเราจะรอทั้งปีเพื่อไปงานเดียวเหรอ แต่ถ้าเรามีแฟร์อื่นเพิ่มล่ะ เราอาจจะมี Zine Fair เพิ่ม หรืออาจจะมี Book Fair ที่มีแค่หนังสือเกี่ยวกับต้นไม้อย่างเดียว มันจะเป็นการ encourage ว่าคุณก็จัดงานในแบบอื่นๆ ได้นะ ไม่จำเป็นต้องไปรออย่างเดียว เราว่ามันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ว่าเราไม่ควรจะจัด
ตั้ม : เรามีคนทำหนังสือหรือเป็นผู้ผลิตค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ช่องทางการขายมีน้อยมาก โดยเฉพาะ Physical space อีกเหตุผลที่ printPRINT เกิดขึ้นมา คือพอมันไม่มี Art Book Fair ในปีที่แล้ว ผมเลยเห็นว่า ไม่มีคนทำหนังสือใหม่ขึ้นมาสักเล่มเลย คือเหมือน ‘อ้าว Art Book Fair กลายเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งสำหรับการผลิตหนังสือแล้วหรอ’ มันก็ไม่ดีสิ คือคนไม่ทำหนังสือแล้ว เพราะไม่มีพื้นที่การขาย ประมาณนั้น
ปิ่น : มันคือความต่อเนื่องของคนทำ ที่เขาจะรู้ว่าทำ ขาย เดินทาง แล้วกลับมาทำอีกครั้ง เพียงแต่มันน่าจะเป็นเรื่องการเมืองของเมือง การเมืองของฤดูกาลด้วย เพราะทุกอย่างจะไปออกันที่ปลายปีหมด อย่างต่างประเทศ เขาทำ Art Book Fair หลายเมืองได้ เพราะแต่ละเมืองเขามี Hub มี Art Center มีศิลปินของตัวเอง มีคอลเลกทีฟอยู่เต็มไปหมด ส่วนเราก็อยู่ที่กรุงเทพฯ เราก็ต้องทำที่นี่ ถามว่าเราอยากไปจัดที่อื่นมั้ย เราก็อยากไป เราอยากรู้เหมือนกันว่าคนที่อื่นซื้อหนังสือในราคาเท่าไร คนที่อื่นเขาผลิตหนังสือจากตอนเทนต์อะไร แต่ประเทศกรุงเทพฯ มันมีแค่นี้ เราไม่ได้อยากเป็นมาตรวัดทุกอย่างในเมืองนี้ แต่ทำเท่าที่ทำได้ เป้าหมายก็อย่างที่บอก คืออยากจะเห็นคนอื่นทำที่อื่นได้ เพราะเราอยู่ในข้อจำกัดของเมืองหรือการทำให้เป็นศูนย์กลาง (centralization)

ในฐานะผู้จัด printPRINT เราคัดเลือกคนที่เข้ามาจัดแสดงงานกันยังไงบ้าง
ปิ่น : น่าจะเป็นคำว่า ‘พิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่’ ปีนี้มีพิมพ์ใหญ่มาละ เราดีใจที่เราได้พิมพ์ใหญ่นะ
เอิง : แต่พอได้พิมพ์ใหญ่มา เราก็รู้สึกว่าใหญ่ไปรึเปล่า นั่งเถียงกัน 3 คนว่าใหญ่ไปมั้ย ใหญ่ไปจนทำให้รายเล็กบางรายอาจรู้สึกว่า ‘ฉันผิดตรงไหนที่ไม่ได้ถูกเลือก’
ปิ่น : แล้วก็ต้องมา fact check ตัวเองว่า ใน 25 โต๊ะ เราต้องให้คนในประเทศและต่างประเทศเท่าไร แล้วก็พิจารณาจากงานของแต่ละประเภท คนทำแต่ละประเภท เช่น โควต้า Photobook มาเยอะแล้ว เราอาจจะต้องตัดโควต้าและเพิ่มให้ Textbook หรือว่า zine
เอิง : เราเลือกยากขึ้น จริงๆ เราก็อยากให้ทุกคนได้ขาย แต่ว่าเรามีแค่ 25 โต๊ะ มันไม่ใช่การตัดสินที่ตัวงานหรอก มันเป็นการจัดให้สมดุลมากกว่า
ตั้ม : แล้วเราก็อยากได้ผู้เล่นคนใหม่ๆ บ้าง
เอิง : เพราะฉะนั้นถ้ามันมีหลายแฟร์ คนที่ไม่ได้ถูกเลือก เขาสามารถ apply ที่อื่นได้
ถ้าไม่ใช่งาน printPRINT ที่คนทำหนังสือมักมาจากสายศิลปะ ตอนนี้บ้านเรามีงานแฟร์อื่นๆ สำหรับคนทำหนังสือที่พูดเรื่องอื่นนอกจากสายอาร์ตไหม
ตั้ม : นอกจาก printPRINT ซึ่งเปิดรับสายศิลปิน เอาจริง 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ก็จะมีงาน พับเพียบซีนแฟร์ (PUBPEAB Zine Fair) ซึ่งผมร่วมจัดกับทาง GalileOasis งานนี้จะเปิดช่องทางให้กลุ่มคนที่เล็กกว่าสายศิลปิน เช่น นักศึกษา เด็กจบใหม่ ให้เขามีโอกาสมา join แต่ว่าเป็น Zine Fair ที่เป็น zine จริงๆ แบบเล่มพับ ตรงนี้เป็นอีกช่องทางที่รองรับผู้เล่นใหม่ๆ สำหรับคนทำหนังสือ zine ราคาโต๊ะไม่ได้แรง ทุกอย่างก็เป็นกันเอง
ตั้ม : มีหลายกลุ่มที่น่าสนใจนะ เช่น zine ของ กลุ่มเพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้า ที่เขาทำเพื่อเป็นศิลปะบำบัดของกลุ่มคนโรคซึมเศร้า เขาเป็นคอมมูนิตี้ซึ่งผมว่ามันมีความเป็น zine ที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย
ตั้ม : แล้วก็จะมีกลุ่ม เฟมะนิดเฟรนด์มีต ที่เขา base อยู่ที่ขอนแก่น เขาจะทำ zine ในแบบที่ผมชอบเรียกว่า ‘โคตร zine’ ก็คือจะเป็น zine แนวเรียกร้องสิทธิของผู้หญิง เรื่องเพศ เรื่อง sex พูดถึงเรื่อง ‘น้องสาว’ เยอะเหมือนกัน แต่เขาจะมี Online Meeting กันอยู่เรื่อยๆ และเขาเลือกใช้ zine เป็นเครื่องมือหนึ่งเผยแพร่ชุดความคิด

คำถามสุดท้าย หนังสือนั้นสำคัญไฉน ทำไมหนังสือรูปเล่มจึงควรมีชีวิตต่อไป
ตั้ม/เอิง : คำถามมงลงนะ (หัวเราะ)
ปิ่น : เพราะเราอ่านออกเขียนได้กันก่อน เราถึงรู้สึกว่าเรายังอยู่กับระบบของหนังสือ เราชอบใช้คำว่าเราเป็น ‘สัตว์หายาก’ กับสิ่งที่ทำอยู่ ด้วยความที่เรายังเชื่อในสิ่งนี้ เราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีคนที่เชื่อเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไป ทำทั้งร้าน ทำทั้งแฟร์ เรายังไปสอนด้วย แล้วก็ยังเห็นนักศึกษาบางคนพูดถึงเรื่องหนังสืออยู่ ก็ยังมีความหวังนะ
เอิง : เราเคยคุยกับเพื่อนเรื่องนี้ เพื่อนบอกว่าหนังสือมันเป็นสื่อเงียบ แล้วเราเป็นคนที่ไม่ได้อยากเจอคน เราเป็นคนพูดน้อย พอเราอ่านหนังสือ เราเหมือนคุยกับมัน บอกไม่ถูก เดี๋ยวนี้เราอ่านผ่านมือถือได้นะ แต่มันไม่เหมือนกัน มือถือมันไม่เงียบแล้ว ซึ่งหนังสือมันยังเป็นวัตถุที่ให้ความรู้สึกเงียบได้
ตั้ม : จริงๆ ตอนนั้นเคยอ่านหนังสือเล่มนึง มีวางโชว์อยู่ในร้านด้วยนะ คือเค้าบอกว่า ถ้าเกิดเราผลิตหนังสือมาเล่มนึงและหน้าที่ของหนังสือมันต้องมีคนอ่าน แต่ถ้าเกิดมันไม่มีคนอ่านล่ะ หนังสือเล่มนั้นมันจะเป็นหนังสืออยู่มั้ย คำถามนี้อาจจะอยู่ในหัวผมมาตลอด แม้ว่าผมจะไม่ได้หยิบมาเป็น philosophy การทำ zine ของผมนะ ซึ่งถ้าโยงกลับมาที่การทำ zine ผมอยากจะสื่อว่า zine ไม่ได้เป็นแค่กระดาษที่เอามาเย็บแม็กเย็บเล่มแล้วเป็นหนังสือให้อ่าน แต่ zine เป็นประสบการณ์ มันเป็นเครื่องมืออย่างนึงที่ทุกคนสามารถหยิบขึ้นมาเล่นได้ แล้วก็สร้างรอยยิ้มได้
ตั้ม : ผมว่าการที่เราสามารถหยิบหนังสือเล่มนึงออกมาได้ตลอดเวลา มันเป็น Timeless experience คือมันสามารถหยุดเวลาของผมให้อยู่ตรงนั้น แล้วก็โฟกัสกับสิ่งสิ่งนั้น
ปิ่น : หลังๆ เราทำเรื่องเกี่ยวกับการอ่าน ก็เคยคุยกับหลายๆ คน เขาบอกว่าหนังสือมันเป็น object ที่ Time-based คือเราจะจำได้ว่าข้อความนี้ต้องเป็นพารากราฟขวาบนของหน้านี้แหละ คือมันอ้างอิงได้ มันจะไม่ใช่สื่อออนไลน์ที่ไถไปเลื่อนๆ แล้วลืมว่าข้อความนั้นอยู่ตรงไหน
ตั้ม : จริงๆ ก็รีแอคชั่นของคนอ่านแหละ มี Art Book Fair ที่เมลเบิร์นที่ผมเคยไปออกงาน จะมีงานแฮนด์เมดอยู่เล่มนึง ขายดีมาก เป็นเล่มขาวดำ มีคนซื้อไปแล้วอีกประมาณ 15 นาทีวิ่งกลับมา เค้าบอก ‘คุณดูสิ ผมขนลุกมากเลย เพราะหนังสือของคุณน่ะ’ ผมก็ตกใจว่าทำไม แค่หนังสือภาพเล่มนึงทำให้เค้าขนลุกหมดเลย ผมว่าเราไม่สามารถเห็นในออนไลน์ได้เลยนะ
เอิง : แล้วถ้าเขาพิมพ์ว่า ‘พี่ตั้ม ขนลุกจังเลยค่ะ’
ตั้ม : ไม่เชื่อ อันนี้ดูน่ากลัวมากกว่านะ (หัวเราะ)







